วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ผู้นำสร้างผลงาน


​​ “No one remembers the wise, and no one remembers fools. In days to come, we will all be forgotten. We must all die---wise and foolish alike.
 So life came to mean nothing to me, because everything in it had brought me nothing but trouble. It had all been useless; I had been chasing the wind.                                                                                          ปัญญาจารย์ 2:16-17

ได้เขียนเรื่องพัฒนาการของการเป็นผู้นำมาแล้ว 2 ระดับคือ ระดับแรก การเป็นผู้นำตามตำแหน่ง (Position) เมื่อเข้าสู่การเป็นผู้นำตามตำแหน่งแล้วมีพัฒนาการเป็นผู้นำไปสู่ระดับที่สอง คือผู้นำได้รับการยินยอมรับ (Permission) เมื่อผู้นำสามารถสร้างความสัมพันธ์ สร้างความมั่นใจ สร้างการยอมรับ ให้เกิดขึ้นในองค์กรที่ตัวเองเป็นผู้นำ
การเป็นผู้นำไม่สามารถหยุดอยู่ที่ระดับนี้ ผู้นำที่ดีต้องมีพัฒนาการเป็นผู้นำให้สูงขึ้นไปอีก John C. Maxwell เรียกผู้นำระดับที่ 3 ว่า ระดับสร้างผลงาน (Production level) เพราะเมื่อผู้นำสามารถสร้างความไว้วางใจ สร้างการยอมรับได้แล้ว สิ่งที่ผู้นำจะต้องสร้างต่อไปคือ สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์และยอมรับ
ในช่วงแรกของการเป็นผู้นำ ผู้ติดตามจะให้โอกาสผู้นำในการเรียนรู้และปรับตัว ที่หลายท่านบอกว่าอยู่ในช่วงฮันนีมูน ผู้นำตัดสินใจทำอะไรผู้ติดตามจะให้โอกาสและให้เกียรติแก่ผู้นำ แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับผู้นำแต่ไม่คัดค้านต่อต้านอย่างเต็มแรง เพราะอยากลองของใหม่ ว่าจะดีแค่ไหน แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปพอสมควร ผู้ติดตามจะเริ่มเปรียบเทียบผลงานการเป็นผู้นำ กับ ผู้นำคนอื่นๆ และถ้าผู้นำยังไม่สามารถสร้างผลงานโดดเด่นออกมาให้ผู้ติดตามได้ชื่นใจ ผู้ติดตามจะเริ่มกังขา ตั้งคำถาม สงสัยในความสามารถที่แท้จริงของผู้นำ ดังนั้นผู้นำจะต้องมีผลงาน สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาภายใต้การนำของตน
การที่ผู้นำจะสร้างผลงานขึ้นมาได้ ผู้นำจะต้องใช้จังหวะส่ง (Momentum) ที่เกิดจากการเป็นผู้นำ คืออำนาจตามตำแหน่งที่ได้รับในระดับที่1และความสัมพันธ์ ความไว้วางใจ การที่ผู้ติดตามยอมรับ ในระดับที่ 2 มาสร้างให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม เป็นผลงานที่เป็นประโยชน์แก่องค์กร ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่า ผู้นำสามารถนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้สำเร็จ จังหวะนี้สำคัญ ถ้าผู้นำไม่สามารถอาศัยจังหวะส่งให้เกิดผลงาน ผู้ติดตามจะเริ่มหงุดหงิด และการวิพากษ์วิจารณ์จะตามมา เพราะผู้นำไม่ได้ใช้สิ่งที่ได้รับจากการเข้ามาเป็นผู้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ
การสร้างผลงานจึงเป็นเรื่องสำคัญของการเป็นผู้นำ เมื่อเข้ามาสู่การเป็นผู้นำแล้ว ถ้ายังไม่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นในระยะเวลานี้ได้ การขับเคลื่อนองค์กรต่อไปภายใต้การนำจะยิ่งยากขึ้น ในทางตรงการข้าม ถ้าผู้นำสามารถสร้างผลงานออกมาเป็นที่ประทับใจ การสร้างผลงานชิ้นต่อไปจะเร็วขึ้น การขับเคลื่อนองค์กรจะเร็วขึ้นจากแรงส่งของผลงานที่ออกมาแล้วเป็นที่ยอมรับ
ผู้นำที่ต้องการผลงานที่เกิดผลภายใต้การนำของตนจึงต้อง

Motivating: สร้างแรงจูงใจ
        ผู้นำต้องสามารถสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ติดตาม สร้างบรรยากาศทำให้เกิดความรู้สึกอยากรู้ อยากทำให้เกิดขึ้นในองค์กร เพราะการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายได้อยู่ที่ความกระตือรือร้นของคนส่วนใหญ่ในองค์กร แรงจูงใจไม่ได้หมายถึงเงินเพียงอย่างเดียว เพราะแต่ละคนมีแรงจูงใจมากน้อยแตกต่างกันไป ความท้าทาย โอกาสแสดงความสามารถ การยกย่อง ชื่นชม รางวัลเกียรติยศ การยอมรับผลงาน ข้อคิดที่สร้างแรงบันดาลใจ ล้วนมีส่วนในการสร้างแรงจูงใจได้ทั้งสิ้น  

Mentoring: ดูแลแนะนำ
        ผู้นำต้องมีความสามารถเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลแนะนำให้ผู้ติดตามสามารถสร้างผลงานในส่วนที่ผู้ติดตามรับผิดชอบให้สำเร็จ การนำองค์กรภายใต้ทิศทางและยุทธศาสตร์ของผู้นำ ไม่ใช่ผู้ติดตามทุกคนในองค์กรจะรู้ เข้าใจ และมีความสามารถทำได้อย่างถูกต้อง อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำจึงต้องทำหน้าที่คอยดูแล ให้คำแนะนำ แก่ผู้ติดตามโดยไม่ต้องเข้าไปทำด้วยตนเองแต่ต้องช่วยให้ผู้ติดตามสามารถใช้ศักยภาพของเขาทำให้งานที่รับผิดชอบสำเร็จตามประสงค์

Monitoring: ติดตาม ตรวจสอบ
        ผู้นำต้องคอยติดตาม ตรวจสอบ ว่าผู้ติดตามมีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้างในการทำงานเพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมาย ภายใต้การชี้นำของผู้นำ การเฝ้าติดตามการขับเคลื่อนโครงการต่างๆที่ผู้นำได้มุ่งหวังไว้ จะทำให้ผู้นำรู้ว่าขณะนี้ ผู้นำสามารถนำองค์กรมาถึงจุดใดแล้ว เป็นการประเมินสถานะ (Status) ในการนำของผู้นำ และเป็นการประเมินศักยภาพของผู้ติดตามในองค์กรเช่นกันว่า มีสมรรถนะ (Competency) อยู่ในระดับใด ผู้นำสามารถปรับการนำและปรับวิธีการแนะนำดูแลแก่ผู้ติดตามได้อย่างทันการณ์

Modeling:  เป็นแบบอย่าง
ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้ติดตาม เพราะผู้นำคือจุดสนใจที่ผู้ติดตามเฝ้ามอง สิ่งที่ผู้นำพูด แสดงออก และกระทำ เป็นสัญญาลักษณ์บ่งบอกให้ผู้ติดตามรับรู้และเข้าใจว่าผู้นำเห็นชอบ หรือสนับสนุนให้ผู้ติดตามปฏิบัติตาม ถ้าผู้นำต้องการคนในองค์กรให้มีคุณลักษณะแบบใด ผู้นำต้องแสดงคุณลักษณะแบบนั้นออกมา ผู้นำที่ต้องการให้คนในองค์กรมีความสัตย์ซื่อ ตัวผู้นำต้องสัตย์ซื่อทั้งคำพูดและการปฏิบัติให้ผู้ติดตามเห็นอย่างชัดเจน ผู้ติดตามจะยึดการปฏิบัติของผู้นำเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติของเขา

Moving: เคลื่อนไหว ไปข้างหน้า
        ผู้นำต้องนำองค์กรให้เกิดการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ เมื่อใดที่ผู้นำหยุดการเคลื่อนไหว สถานะภาพ การเป็นผู้นำจะอ่อนลง เพราะผู้ติดตามคาดหวังให้ผู้นำต้องเคลื่อนไหวนำพวกเขาให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายข้างหน้า ความต้องการของผู้ติดตามคือต้องการให้ผู้นำขับเคลื่อนให้พวกเขาไปถึงเป้าหมายโดยเร็วที่สุด ผู้นำจึงต้องเข้าใจและใช้จังหวะส่ง (Momentum) ในการขับเคลื่อน ให้ผู้ติดตามขยับเคลื่อนที่ตามไปสู่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยรู้จักเพิ่มความเร็ว (Speed) ในการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสม จากการจัดแถว (Alignment) ในตอนแรก แล้วก้าวเดินอย่างมีจังหวะ และสามารถใช้จังหวะส่งนำในเวลาที่เหมาะสมได้อย่างไม่สะดุด

Multiplying: เกิดผลงานทวีคูณ
          การนำของผู้นำต้องเกิดผล และเกิดผลมากกว่าเดิม เมื่อใดที่ผู้ติดตามรู้สึกว่าการนำของผู้นำไม่ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่องค์กรและตัวเขามากกว่าเดิม ความไว้วางใจในตัวผู้นำจะสั่นคลอน ความสงสัยจะเกิดขึ้น การเปรียบเทียบผลงานกับผู้นำคนอื่นๆจะตามมา เมื่อผู้ติดตามคาดหวังในตัวผู้นำไว้สูง แล้วผู้นำทำไม่ได้ตามที่พวกเขาคาดหวัง พวกเขาจะหมดความเชื่อถือไว้วางใจในตัวผู้นำ
          คำกล่าวว่า “การนำคนคือการนำองค์กร” (Leading people is leading organization) เป็นความจริงเพราะองค์กรอยู่ได้เพราะชีวิตคนในองค์กร คนในองค์กรมีชีวิตอย่างไร องค์กรก็มีชีวิตอย่างนั้น องค์กรจะประสบความสำเร็จได้ คนในองค์กรต้องมีความสามารถก่อน เพราะคนคือผู้ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ
ผู้นำเมื่อได้รับหน้าที่เป็นผู้นำขององค์กรแล้วจะต้องทำให้เกิดผลที่มีคุณค่าแก่คนในองค์กร ซึ่งจะส่งผลทำให้องค์กรเกิดความสำเร็จตามมา อย่าลืมว่าคนติดตามผู้นำเพราะเขาได้เห็นสิ่งที่ผู้นำได้ทำเพื่อองค์กร (People follow leaders because they have seen what leaders have done for their organizations) ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้นำ
          Paul J. Meyer กล่าวว่า Productivity is never an accident. It is always the result of a commitment to excellence, intelligent planning, and focused effort.”
          ผลผลิตไม่เคยเป็นเรื่องที่บังเอิญเกิดขึ้น มันเป็นผลของการทุ่มเทให้กับความเป็นเลิศ การวางแผนอย่างชาญฉลาด และความพยายามอย่างมุ่งมั่นเสมอ
          เช่นเดียวกับ Franz Kafka ที่กล่าวว่า “Productivity is being able to do things that you were never able to do before.”
          ผลผลิตคือความสามารถในการทำสิ่งที่ไม่เคยสามารถทำได้มาก่อน
          ผู้นำ ที่มีศักยภาพในการนำจึงต้องสร้างผลงานที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนเพื่อรักษาสถานะ การเป็นผู้นำที่มีผู้ติดตามต่อไป
          ผู้นำ ที่ไม่สามารถสร้างผลงานใหม่ ศักยภาพในการนำจะลดลง และความไว้วางใจในตัวผู้นำจะลดลงเรื่อยๆ จนหมดสภาพความเป็นผู้นำในที่สุด

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น