“The sin of a wicked man are a trap. He gets caught in the net of his own sin. He dies because he has no self-control. His utter stupidity will send him to his grave.”
Proverbs 5:22-23
Proverbs 5:22-23
ประเทศสิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆที่มีเนื้อที่ดินเพียงเล็กน้อยที่จะซึมซับกักเก็บน้ำไว้ใช้ เป็นประเทศที่เคยเผชิญ กับความแห้งแล้ง น้ำท่วม และน้ำเป็นมลพิษมาแล้วตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ และต้องใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษในการ แก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้นำประเทศ ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ทำเพื่อประเทศชาติ ด้วยความตระหนักถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ ด้วยความเข้าใจและความร่วมมือของประชาชน ทุกภาคส่วน และด้วยการลงทุนศึกษา วิจัย เรื่องระบบน้ำอย่างจริงจัง โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างชาญฉลาด วันนี้ประเทศสิงคโปร์ได้กลายเป็นประเทศตัวอย่างของโลกที่มีความสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำของเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม และมีระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้อย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต เปลี่ยนประเทศสิงคโปร์จากประเทศที่มีจุดอ่อนอันเปราะบางเรื่องการขาดแคลนน้ำ มาเป็นประเทศที่มีจุดแข็งเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และประเทศมีน้ำใช้อย่างยั่งยืน ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำของประเทศสิงคโปร์ได้กลายเป็นรูปแบบตัวอย่างการบริหารจัดการเรื่องระบบน้ำของเมือง ที่นานาประเทศทั่วโลกให้ความสนใจมาศึกษาดูงาน เพราะการจัดการบริหารเรื่องน้ำของประเทศสิงคโปร์ ใช้วิธีการบูรณาการผสมผสานหลายวิธี และมีความยั่งยืน (Diversified and Sustainable Supply of Water)
การจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศสิงคโปร์ใช้นโยบาย 4 ก๊อกน้ำแห่งชาติ (Four National Taps)
1. การเก็บกักน้ำในพื้นที่ท้องถิ่น (Local Catchment Water)
ประเทศสิงคโปร์มีการจัดการน้ำสองระบบที่แยกจากกัน คือระบบการเก็บกักน้ำจากน้ำฝน (Rainwater) ระบบหนึ่ง และระบบการเก็บกักน้ำที่ใช้แล้ว(Used water) อีกระบบหนึ่ง ในระบบการจัดเก็บน้ำฝน จะมี คลอง คู แม่น้ำ หนอง บึง อ่างเก็บน้ำทั้งที่มีอยู่ตามธรรมชาติและที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้กักเก็บน้ำฝนอย่างเป็นระบบ และทำเป็นเครือข่ายเชื่อมต่อกัน จนกลายเป็นประเทศหนึ่งที่มีปริมาณน้ำจัดเก็บขนาดใหญ่ก่อนการบำบัด ให้สามารถนำไปใช้กินดื่มได้ โดยพื้นที่เก็บกักน้ำของประเทศสิงคโปร์ได้เพิ่มจากครึ่งหนึ่งของพื้นที่ดิน (Land surface) เป็น สองในสามของพื้นที่ดิน และกำลังจัดทำระบบเก็บกักสายน้ำที่อยู่เรียบตามแนวชายฝั่งทะเล ที่อาจมีความเค็มเจือปน โดยใช้เทคโนโลยีบำบัดความเค็มของน้ำ ซึ่งจะทำให้ประเทศสิงคโปร์ สามารถเก็บกักน้ำได้ถึง 90%ในอนาคต
2. น้ำนำเข้า (Imported Water)
ประเทศสิงคโปร์ต้องซื้อน้ำจากประเทศมาเลเซียมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ โดยมีสัญญาซื้อน้ำจากประเทศมาเลเซีย ไปจนถึงปี 2061 ทั้งนี้ผู้นำประเทศสิงคโปร์ และประชาชน ต่างตระหนักดีว่า นี่คือจุดอ่อนเรื่องความมั่นคงของประเทศ เพราะผู้นำประเทศมาเลเซียในอดีตเคยพูดไว้ว่า เมื่อใดที่ประเทศสิงคโปร์ไม่ให้เกียรติแก่ประเทศมาเลเซีย เมื่อนั้น ก็จะทำการปิดประตูส่งน้ำที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งทำให้ประเทศสิงคโปร์ไม่มีน้ำกินน้ำใช้ ประเทศสิงคโปร์จึงต้องดิ้นรนตั้งเป้าหมายให้ประเทศมีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอด้วยตนเองก่อนปี 2061 เพื่อไม่ต้องพึ่งพาอาศัยน้ำนำเข้าจากประเทศมาเลเซียในอนาคต
3. น้ำใหม่ (NEWater)
ประเทศสิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการนำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดใหม่ด้วยเทคโนโลยีการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงอุตตร้าไวโอเลตจนสะอาดและปลอดภัยใช้บริโภคได้ โดยมีโรงงานบำบัดน้ำใช้แล้วที่เรียกว่า NEWater ขนาดใหญ่ถึง 4 แห่งที่สามารถผลิตน้ำจากการบำบัดน้ำที่ใช้แล้วให้นำกลับมาใช้ใหม่ ตอบสนองความต้องการใช้น้ำของประเทศได้ถึง 30% และยังมีแผนการขยายโครงการที่จะผลิตน้ำระบบ NEWater นี้ให้ได้มากขึ้น ให้สามารถตอบสนองความต้องการของประเทศให้ได้ถึง 55% ภายในปี 2060 ระบบการรวบรวมน้ำทิ้งจาก อาคารบ้านเรือน ของประเทศสิงคโปร์นั้นใหญ่มาก เขาสร้างเป็นอุโมงค์ส่งน้ำทิ้งอยู่ใต้ดินยาวถึง 48 กิโลเมตร จนเรียกว่าเป็นซุปเปอร์ไฮเวย์น้ำใช้แล้ว (Used water super highway) และขณะนี้ยังอยู่ในระยะที่สองของการก่อสร้างโครงการทำอุโมงค์ส่งน้ำใช้แล้วใต้ดิน ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2022
4. น้ำทะเลเป็นน้ำจืด (Desalinated Water)
ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศหนึ่งในไม่กี่ประเทศของโลกที่สามารถนำเอาน้ำเค็มจากทะเลมาทำให้เป็นน้ำจืดได้ ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ปัจจุบันประเทศสิงคโปร์สามารถผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลได้ จากโรงงานที่หนึ่ง 30 ล้านแกลลอนต่อวัน (ประมาณ 136,000 คิวบิกเมตร) เป็นประมาณ 10% ของปริมาณน้ำที่ใช้ในประเทศ และจาก โรงงานแห่งที่สองที่สร้างเสร็จเมื่อปี 2013 ซึ่งสามารถผลิตน้ำจืดได้ 70 ล้านแกลลอน หรือประมาณ 318,500 คิวบิกเมตรต่อวัน ทำให้ทั้งสองโรงงานสามารถผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ตอบสนองความต้องการบริโภคน้ำของ ประเทศได้ถึง 25%
จะว่าไปแล้วความสำเร็จของประเทศสิงคโปร์ทุกเรื่องเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มองเห็นปัญหาและอนาคตอย่างแจ่มชัดของประเทศ รวมทั้งมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะแก้ไขปัญหาของชาติ เพื่อความมั่นคงและมั่งคั่งของประเทศ บวกกับความมีประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานรัฐบาล ความสัตย์ซื่อและมีธรรมาภิบาลของ ข้าราชการ ความมีจริยธรรมและในการประกอบธุรกิจ และความเสียสละของนักธุรกิจที่ไม่โลภเอาเปรียบประชาชนและประเทศชาติ และความรู้ความเข้าใจของประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ประชาชนมีความสำนึกสูง ทุกหน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวม มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง
ตัวอย่างของความร่วมมือที่เห็นได้ชัดเจนคือความเข้าใจของประชาชนผู้ใช้น้ำที่เห็นคุณค่าความสำคัญของ ทรัพยากรน้ำ สร้างอุปนิสัยการใช้น้ำอย่างประหยัดในครอบครัวและในที่ทำงาน โดยทางการจะมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่อาคารที่มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และ รัฐบาลกำลังรณรงค์ให้คนสิงคโปร์มีการบริโภคน้ำเฉลี่ยต่อหัว(per capita water consumption) ลดลง คือตั้งเป้าให้ภายในปี 2020 ประชาชนสิงคโปร์ จะลดการบริโภคน้ำลงเหลือเฉลี่ย 147 ลิตรต่อหัว และภายในปี 2030 จะลดการบริโภคน้ำลงเฉลี่ยเหลือ 140 ลิตรต่อหัว โดยได้มีการประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนแต่ละครอบครัว ตั้งเป้าลดการบริโภคน้ำลง 10% หรือ 10 ลิตรต่อครอบครัว เป็นการร่วมมือกันแบบ 3 P (People Public and Private) คือ ประชาชน รัฐ และเอกชน เพื่อให้มีน้ำเพียงพอสำหรับทุกคนในประเทศสิงคโปร์ ประชาชนต้องช่วยกันอนุรักษ์ ต้องเห็นคุณค่า และต้องมีความชื่นชมยินดี (Water for all: Conserve, Value, Enjoy) และการร่วมมือกันของทั้ง 3 ฝ่ายนี้ มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการคือ ประการแรก จะทำให้น้ำในประเทศสิงคโปร์ เป็นน้ำที่มีการเคลื่อนไหว (Active) คือ ทำให้แหล่งน้ำ ทั่วประเทศ ไม่เป็นน้ำนิ่ง น้ำเน่า น้ำเสีย มีการขุดลอกจัดการแม่น้ำ คู คลอง ทางส่งน้ำ และ อ่างเก็บน้ำ มีระบบ การบำรุงรักษาให้น้ำไหลได้สะดวก ไม่ตื้นเขิน ไม่มีวัชพืชหรือขยะ กีดขวางการไหลของน้ำ ประการที่สอง จะทำให้น้ำในประเทศสิงคโปร์ เป็นน้ำที่มีความสวยงาม (Beautiful) คือทำให้แหล่งน้ำทุกแห่ง เช่น แม่น้ำ คู คลอง อ่างเก็บน้ำมีภูมิทัศน์ที่สวยงาม สามารถจัดทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนได้ หรือ จัดทำกิจกรรมนันทนาการ หรือ กิจกรรมกีฬาทางน้ำได้ และประการที่สาม จะทำให้น้ำในประเทศสิงคโปร์ เป็นน้ำใสสะอาด (Clean) คือเป็นน้ำที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อการบริโภค และสามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ และ อุตสาหกรรมได้
โครงการรณรงค์ให้ประชาชนมีความตระหนักและเข้าใจความสำคัญของทรัพยากรน้ำได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศ มีประชาชนกว่าร้อยชุมชนทำกิจกรรมต่างๆที่สนับสนุนการจัดการให้น้ำในพื้นที่เป็นไปตามเป้าประสงค์ มีโครงการมากกว่า 20 โครงการที่ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว และอีกหลายโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการ
เป้าหมายสุดท้ายของประเทศสิงคโปร์ในเรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำคือการทำให้ประเทศสิงคโปร์เป็น ศูนย์กลางน้ำของโลก (Singapore Global Hydro Hub) หมายถึงประเทศสิงคโปร์ จะเป็นประเทศที่มีความรู้ อย่างลึกและกว้างในเรื่องน้ำ ที่ทั่วโลกถ้าอยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องน้ำๆต้องมาหาที่ประเทศสิงคโปร์ โดยรัฐบาลสิงคโปร์จะลงทุนอีก 470 ล้านเหรียญให้สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งชาติของประเทศสิงคโปร์ ทำการศึกษาวิจัยพัฒนาเรื่องน้ำและอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องเกี่ยวกับน้ำ
ประเทศสิงคโปร์ จากประเทศที่มีอ่างเก็บน้ำเพียงสองแห่งและมีน้ำสำรองใช้ได้เพียง 2 สัปดาห์ วันนี้ประเทศสิงคโปร์ กำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงมหกรรมเรื่องน้ำ (Water Expo) ในเดือนกรกฎาคม ปีนี้ ซึ่งจะมี หน่วยงาน บริษัทใหญ่ๆทั่วโลกมาออกร้านแสดงความก้าวหน้าในการจัดการบริหารทรัพยากรน้ำในบริบทต่างๆ และแนะนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ที่ก้าวหน้า ในการบริหารจัดการเรื่องน้ำ ทั้งในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เครื่องจักรอุปกรณ์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการบริหารจัดการน้ำ และในเวลาเดียวกันจะมีเวทีประชุมสัมนา เรื่องทรัพยากรน้ำ แน่นอนว่าจะมีนักวิจัย นักวิชาการ นักบริหารนักจัดการเรื่องน้ำระดับผู้นำทั่วโลกมาประชุมด้วย
ดูประเทศสิงคโปร์เขาจัดการเรื่องทรัพยากรน้ำแล้ว อยากเขิญผู้นำประเทศสิงคโปร์มาบริหารประเทศไทย ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ตอนที่เขาตั้งประเทศสิงคโปร์ใหม่ๆเมื่อปี 1965 ประเทศไทยในเวลานั้นมีป่าไม้ทั่วประเทศ มากกว่า 60% ทุกภูเขาเห็นแต่ป่าไม้เขียวชอุ่มไปทั้งประเทศ ประเทศไทยมีน้ำอุดมสมบูรณ์จนพูดติดปากว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าว มีน้ำเหลือกินเหลือใช้ จะใช้น้ำแบบใช้ทิ้งใช้ขว้างอย่างไร แม่น้ำทุกสาย ก็มีน้ำไหล ตลอดเวลา ไม่มีแห้ง จะปลูกข้าวดำนา จะแข่งเรือ จะลอยกระทง จะเล่นน้ำสงกรานต์ ไม่ต้องกังวล มีน้ำให้ใช้ อย่างเพียงพอตลอดเวลา
ดูประเทศสิงคโปร์เขาจัดการเรื่องทรัพยากรน้ำแล้ว อยากเขิญผู้นำประเทศสิงคโปร์มาบริหารประเทศไทย ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ตอนที่เขาตั้งประเทศสิงคโปร์ใหม่ๆเมื่อปี 1965 ประเทศไทยในเวลานั้นมีป่าไม้ทั่วประเทศ มากกว่า 60% ทุกภูเขาเห็นแต่ป่าไม้เขียวชอุ่มไปทั้งประเทศ ประเทศไทยมีน้ำอุดมสมบูรณ์จนพูดติดปากว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าว มีน้ำเหลือกินเหลือใช้ จะใช้น้ำแบบใช้ทิ้งใช้ขว้างอย่างไร แม่น้ำทุกสาย ก็มีน้ำไหล ตลอดเวลา ไม่มีแห้ง จะปลูกข้าวดำนา จะแข่งเรือ จะลอยกระทง จะเล่นน้ำสงกรานต์ ไม่ต้องกังวล มีน้ำให้ใช้ อย่างเพียงพอตลอดเวลา
ผู้นำของประเทศไทยบริหารประเทศกันอย่างไรไม่รู้ ประเทศสิงคโปร์จากที่ไม่มีน้ำพอกินพอใช้ในอดีต มาเป็นประเทศมีน้ำพอกินพอใช้อย่างเพียงพอและยั่งยืนในปัจจุบัน แต่ประเทศไทยจากที่มีน้ำใช้อย่างเหลือเฟือในอดีต มาเป็นประเทศวิกฤติน้ำในปัจจุบัน น้ำในเขื่อนใหญ่เขื่อนเล็กทุกเขื่อนเหลืออยู่แค่ก้นเขื่อน แม่น้ำทุกสายแห้งขอดจนลงไปเล่นฟุตบอลได้ เพราะต้นไม้ทุกภูเขาถูกตัดเหี้ยนหมดทั่วประเทศ กลายเป็นภูเขา หัวโล้น ปลูกพืชเชิงเกษตรกรรมไปหมด แถมยังมีควันไฟและฝุ่นละอองจากการเผาป่าปกคลุมไปเกือบครึ่งประเทศ ประเทศชาติเสียหายมากจนนับมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้ ทั้งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย อย่างไร้จิตสำนึก ทั้งมนุษย์และสัตว์ถูกทำร้ายเรื่องสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บอย่างไร้ความเมตตา คนเกือบทั้งประเทศกำลังได้รับความเดือดร้อนทั้งกายและใจ ในขณะที่คนกลุ่มเล็กกำลังชื่นชมยินดีกับผลกำไร จากการทำธุรกิจบนความโลภ ใครจะรับผิดชอบ
Henry Kravis กล่าวว่า “If you don't have integrity, you have nothing. You can't buy it. You can have all the money in the world, but if you are not a moral and ethical person, you really have nothing.” ถ้าคุณไม่มีความสัตย์ซื่อ คุณไม่มีอะไรเลย คุณไม่สามารถซื้อมันได้ คุณสามารถมีเงินทั้งโลกได้ แต่ถ้าคุณเป็นคน ไม่มีคุณธรรมและไม่มีจริยธรรม คุณเป็นคนที่ไม่มีค่าอะไรเลยจริงๆ
ใครครับ
ที่มา:The Singapore Water Story : From Vulnerability to Strength
www.pub.gov.sgปล. เดือนมีนาคมทั้งเดือนอากาศที่เชียงใหม่เลวร้ายมาก จากหมอกควันที่เผาป่า ผมต้องกินยาแก้แพ้ทุกวัน ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น