วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พันธมิตรเพื่อทักษะในศตวรรษที่ 21

“จงให้คำสั่งสอน แก่คนมีปัญญาและเขาจะมีปัญญา​​ยิ่งขึ้น จงสอนคนชอบธรรมและเขาจะเพิ่มพูนการเรียนรู้ ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และการรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้” สุภาษิต 9:9-10
พันธมิตรเพื่อทักษะในศตวรรษที่ 21(The Partnership for 21st Century Skills) หรือ P21 เป็นองค์กรระดับชาติของสหรัฐอเมริกาที่มีจุดประสงค์ในการเตรียมความพร้อมของนักเรียนสหรัฐอเมริกาสำหรับศตวรรษที่ 21 สหรัฐอเมริกาตระหนักดีถึงความจำเป็นในการเตรียมคนรุ่นใหม่ของประเทศให้มีความสามารถแข่งขันได้ในเวทีเศรษฐกิจโลกซึ่งได้เปลี่ยนแปลงอย่างมาก

P21 และสมาชิก ได้พัฒนาโครงสร้างการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (The Framework for 21st Century Learning) เพื่อสนับสนุนให้ระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกามีความเป็นเอกภาพในการเรียนการสอนเด็กอเมริกันให้มีการเรียนรู้ มีทักษะที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยการสนับสนุนเครื่องมือและทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือผู้สอนในการบูรณาการและผสมผสานเนื้อหาความรู้ ทักษะและความชำนาญการเฉพาะเข้ากับเนื้อหาความรู้วิชาการในการสอนวิชาหลัก เชื่อว่าโดยการใช้แนวทางนี้จะช่วยให้ นักศึกษาอเมริกันประสบความสำเร็จในชีวิตและการงาน
การใช้ทุกทักษะของศตวรรษที่21 ตามโครงสร้างนี้ นักศึกษาจะต้องมีการพัฒนาความรู้และความเข้าใจในวิชาการหลักเพื่อทำให้นักศึกษาเป็นผู้ที่สามารถคิดวิเคราะห์ (Think Critically) สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Communicate effectively) สามารถแก้ไขปัญหา (Problem solving) และรู้จักสร้างความร่วมมือ (Collaboration) เป็น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จในโลกปัจจุบัน
โรงเรียน หรือ เขตการศึกษาสร้างความรู้และทักษะที่ต้องการบนพื้นฐานของระบบนี้โดยการรวมโครงสร้างทั้งหมดกับระบบสนับสนุนที่จำเป็นได้แก่ มาตรฐาน การประเมิน หลักสูตร  วิธีการสอน การพัฒนาวิชาชีพ และสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษามีส่วนร่วมมากขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ และจบการศึกษาด้วยความพร้อมที่ดีกว่าในการดำรงชีวิตในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
วิชาหลัก(Core subjects) และเรื่องหลัก (Theme) ในศตวรรษที่ 21ที่นักศึกษาต้องเรียน มีดังนี้
ภาษาอังกฤษ(English) การอ่าน หรือศิลปะภาษา (Reading or language arts) ภาษาอื่นๆในโลก (World languages) ศิลปะ (Arts) คณิตศาสตร์ (Mathematics) เศรษฐศาสตร์ (Economics) วิทยาศาสตร์ (Science) ภูมิศาสตร์ (Geography) ประวัติศาสตร์ (History) รัฐบาลและพลเมือง (Government and civics)
นอกจากนี้โรงเรียนจะต้องส่งเสริมให้นักศึกษามีความเข้าใจในเนื้อหาวิชาการในระดับที่สูงมากขึ้นมากโดยการสานวิชาหลักกับ เรื่องหลักนานาสาขาของศตวรรษที่21 ดังนี้
ความตระหนักรู้เรื่องโลก (Global Awareness)
ความรู้เรื่องพลเมือง (Civic Literacy)
ความรู้เรื่องการเงิน (Financial) เศรษฐกิจ (Economic)
ธุรกิจและการประกอบธุรกิจ (Business and Entrepreneurial Literacy)
ความรู้เรื่องสุขภาพ (Health Literacy)
ความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills)
ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
การคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving)
การสื่อสารและการร่วมมือ (Communication and Collaboration)
ความรู้เรื่องข้อมูลข่าวสาร (Information Literacy) • ความรู้เรื่องสื่อ (Media Literacy)
ความรู้เรื่อง ICT (Information, Communications and Technology) Literacy
ความรู้เรื่องชีวิตและทักษะอาชีพ (Life and Career Skills)
ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Flexibility and Adaptability)
ความคิดริเริ่มและการวางแผนชีวิต (Initiative and Self-Direction)
ทักษะทางสังคมและวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Skills)
การมีประสิทธิผลและความเชื่อถือได้ (Productivity and Accountability)
ความเป็นผู้นำและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility)
จะเห็นได้ว่านักการศึกษาของสหรัฐอเมริกามีความตระหนักมากขึ้นเรื่องทักษะที่จำเป็นของนักศึกษาอเมริกันในการดำรงชีวิตในสังคมโลก เพราะโลกในศตวรรษที่21 ไม่ได้เป็นโลกเดิมที่สหรัฐอเมริกันจะอยู่ด้วยทัศนคติเดิมว่าสหรัฐอเมริกันเป็นชาติมหาอำนาจของโลกที่ต้องดูแลประเทศอื่นๆ
Martin Luther King, Jr. กล่าวว่า “The function of education is to teach one to think intensively and to think critically. Intelligence plus character - that is the goal of true education. “
หน้าที่ของการศึกษาคือการสอนให้คนคิดอย่างละเอียดและคิดอย่างวิเคราะห์ ความเฉลียวฉลาดบวกกับคุณลักษณะ นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงของการศึกษา”
ผมขอฝากข้อมูลนี้ให้นักการศึกษาไทยช่วยคิดวิเคราะห์ด้วยเรื่องทักษะที่จำเป็นสำหรับนักศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 เมื่อชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ยังต้องเตรียมความสามารถในการแข่งขันให้นักศึกษาของเขาสามารถเอาตัวรอดได้ในเศรษฐกิจโลก เราต้องทำอะไรบางอย่างแล้วครับ
คุณคิดอย่างไรครับ?L

แหล่งข้อมูล: www.p12.org/

The Partnership for 21st Century Skills

​​​​​​“Give instruction to a wise person, and he will become wiser still; teach a righteous person and he will add to his learning. The beginning of wisdom is to fear the LORD, and acknowledging the Holy One is understanding.”                                           Proverbs 9:9-10

The Partnership for 21st Century Skills or P21 is a national organization of the United States that aims for the readiness of American students in the 21st Century. The United States is well aware of the necessity to prepare the new generation of the country to be able to compete in the global economy which has been changed dramatically.

P21 and its members have developed the Framework for 21st Century learning in order to support the education system of the United States to unify the teaching and learning of American students to have appropriate skills for maintaining their lives in the 21st century. Teachers are supported by tools and resources to integrate and blend the content of knowledge and the specific skills and expertise when teaching the core academic subjects. It is believed that by using this approach it will facilitate American students to have success in work and life.
The implementation of 21st century skills in this framework requires students to have the development of knowledge and understanding in core academic subject areas in order to make students able to think critically, communicate effectively, solve problems and know how to build collaboration which are the essential skills for success in the world today.
Schools or districts build the required knowledge and skills on the foundation of this system by combining the entire Framework with the necessary support systems; standards, assessments, curriculum and instruction, professional development and learning environments, which will assist students to be more engaged in the learning process and to be more adequately prepared upon graduation to make a living in the new global economy.
Core Subjects and 21st Century Themes for students are:
Core subjects include English, reading or language arts, world languages, arts, mathematics, economics, science, geography, history, government and civics.
In addition, schools must promote an understanding of academic content at much higher levels by weaving the following interdisciplinary themes of the 21st century into core subjects:
• Global Awareness
• Financial, Economic, Business and Entrepreneurial Literacy
• Civic Literacy
• Health Literacy
• Environmental Literacy
•Learning and Innovation Skills
• Creativity and Innovation
• Critical Thinking and Problem Solving
• Communication and Collaboration
•Information, Media and Technology Skills
• Information Literacy
• Media Literacy
• ICT (Information, Communications and Technology) Literacy
•Life and Career Skills
• Flexibility and Adaptability
• Initiative and Self-Direction
• Social and Cross-Cultural Skills
• Productivity and Accountability
• Leadership and Responsibility

                We can see that American educators have more awareness of the essential skills needed by American students to maintain their lives in the world society. The world in the 21st century is not the old world of the United States with an old attitude. They no longer have to worry about other countries in the same way they did in the past, when they were a super power.
Martin Luther King, Jr. said “The function of education is to teach one to think intensively and to think critically. Intelligence plus character - that is the goal of true education.”
I would like to give this piece of information to Thai educators to think critically about the essential skills needed by Thai students in the 21st century. When a super power nation like the United States has to prepare their students to be competitive, so that they can survive in the global economy, we must do something as well.
What do you think? L

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทวีปAntarcticaกำลังละลาย

 “ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก            มัทธิว 24:21

การศึกษาใหม่ พบว่าชั้นน้ำแข็งขนาดมหึมาในทวีป แอนตาร์กติกา กำลังถูกน้ำทะเลที่ร้อนข้างใต้ทำลาย สิ่งนี้บ่งชี้ว่าระดับน้ำทะเลในอนาคตจะสูงขึ้นเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ได้เคยพยากรณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ซีกตะวันตกของทวีป แอนตาร์กติกา ทั้งแถบกำลังสูญเสียชั้นน้ำแข็งลอยน้ำ 23 ฟุต ทุกปี
จนถึงขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่แน่นอนของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือ การที่มนุษย์ทำให้โลกร้อนอาจเป็นสาเหตุได้อย่างไร
คำตอบ จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารธรรมชาติคือ การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศมีบทบาททางอ้อม แต่สิ่งที่มีผลในการทำลายที่ใหญ่กว่าคือ ถ้าน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา จะถูกละลายด้วยด้วยอากาศร้อนล้วนๆ
Hamish Pritchard นักธารน้ำแข็งวิทยาที่ British Antarctic Survey, กล่าวว่า การวิจัยซึ่งใช้ดาวเทียมตรวจจับน้ำแข็งขององค์กร นาซ่า แสดงให้เห็นว่าอากาศร้อนแต่เพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นแก่ทวีป แอนตาร์กติกา จากการตรวจสอบในรายละเอียดเพิ่มเติม พบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน อธิบายถึงสาเหตุของการละลายของชั้นน้ำแข็งลอยน้ำจำนวน 20 ชั้น ซึ่งแสดงให้เห็นร่องรอยว่าการละลายเกิดจากความร้อนของน้ำทะเลที่อยู่ใต้ก้อนน้ำแข็ง การเปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสลมทำให้น้ำทะเลที่ค่อนข้างร้อนกว่าไหลเข้ามาใกล้และอยู่ข้างใต้ของชั้นน้ำแข็งที่ลอยน้ำ
การเปลี่ยนแปลงของทิศทางลมน่าจะเกิดจากปัจจัยร่วมหลายตัว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติอากาศ การเกิดปล่องโอโซน และการเกิดก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ทำขึ้น

ภาพแสดงชั้นน้ำแข็งของชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปบางลง ที่เห็นเป็นส่วนสีแดงแสดงว่าน้ำแข็งมีความหนามากกว่า 550 เมตร ในขณะที่เห็นเป็นสีฟ้านั้นแสดงว่าน้ำแข็งมีความหนาบางกว่า 200 เมตร
Pritchard กล่าวว่า เมื่อชั้นน้ำแข็งลอยน้ำละลายและบางลง จะมีผลทำให้หิมะและน้ำแข็งบนธารน้ำแข็งบนบกเลื่อนลงสู่ก้อนชั้นน้ำแข็งลอยน้ำ และในที่สุดลงสู่ทะเล ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น ชั้นน้ำแข็งลอยน้ำที่หนาโดยปกติจะช่วยรักษาไม่ให้หิมะและน้ำแข็งบนบกไหลลงสู่ทะเล ซึ่งในเวลานี้ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว

กระบวนการทั้งหมดนี้ทำให้เกิดระดับน้ำทะเลที่สูงมากขึ้นและเร็วขึ้น มากกว่าการที่อากาศร้อนละลายหิมะบนธารน้ำแข็งบนบกอย่างธรรมดา
            ผลการศึกษาสรุปว่า ชั้นน้ำแข็งมีความอ่อนไหวอย่างสูงมากต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเพียงเล็กน้อยโดยผ่านผลกระทบของลม และ สิ่งที่เกิดขึ้นในทวีปแอนตาร์กติกา อาจทำให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพอย่างรวดเร็วในการละลายของธารน้ำแข็งแล้วก็ได้


ถ้าชั้นน้ำแข็งทั้งหมดด้านตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกา ละลาย ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายทศวรรษถ้าไม่ใช่เป็นศตวรรษ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะทำให้น้ำทะเลทั้งโลกสูงขึ้นประมาณ 16 ฟุต
Andrew Cuomo กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่โลกร้อนขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก เป็นอันตรายต่อโลกของเรา”
            ครับ โลกร้อนขึ้นเป็นอันตรายต่อมนุษย์แน่ แต่เราเพียงรู้สึกอุ่นๆเท่านั้นครับ J

แหล่งข้อมูลจาก Associated Press   

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Antarctica is melting!


“For the trouble at that time will be far more terrible than any there has ever been, from the beginning of the world to this very day. Nor will there ever be anything like it again.”                                                Matthew 24:21

Antarctica's massive ice shelves are shrinking because they are being eaten away from below by warm water, a new study finds.
That suggests that future sea levels could rise faster than many scientists have been predicting.
The western chunk of Antarctica is losing 23 feet of its floating ice sheet each year.
Until now, scientists weren't exactly sure how it was happening and whether or how man-made global warming might be a factor.
The answer, according to a study published in the journal Nature, is that climate change plays an indirect role - but one that has larger repercussions than if Antarctic ice were merely melting from warmer air.
Hamish Pritchard, a glaciologist at the British Antarctic Survey, said research using an ice-gazing NASA satellite showed that warmer air alone couldn't explain what was happening to Antarctica. A more detailed examination found a chain of events that explained the shrinking ice shelves. Twenty ice shelves showed signs that they were melting from warm water below. Changes in wind currents pushed that relatively warmer water closer to and beneath the floating ice shelves.
The wind change is likely caused by a combination of factors, including natural weather variation, the ozone hole and man-made greenhouse gases.

This map shows Antarctica's ice shelves on the continent's western coast thinning, with the red portion indicating ice thicker than 550 meters, while blue is thinner than 200 meters.

Cause for concern: Scientist Hamish Pritchard claims that the melting and thinning of floating ice shelves could eventually trigger a rise in sea level.
Pritchard said that as the floating ice shelves melt and thin, it triggers snow and ice on land glaciers to slide down to the floating shelves and eventually into the sea, causing sea level rise. Thicker floating ice shelves usually keep much of the land snow and ice from shedding to the sea, but that's not happening now. That whole process causes larger and faster sea level rise than simply warmer air melting snow on land-locked glaciers.
The study concludes that  the ice sheets are highly sensitive to relatively subtle changes in climate through the effects of the wind and what's happening in Antarctica may have already triggered a period of unstable glacier retreat.
If the entire Western Antarctic Ice Sheet were to melt - something that would take many decades if not centuries - scientists have estimated it would lift global sea levels by about 16 feet.

Andrew Cuomo said “I believe global warming and climate change are real threats to our planet.”
                Yes, global warming is surely a threat of humanity but we just only feel warm.L
Source:  Associated Press

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 อันดับแหล่งท่องเที่ยวของชาวจีนแผ่นดินใหญ่

“ที่ไหนที่ไม่มีการนำ ประชาชนก็ล้มลง แต่ในที่ซึ่งมีที่ปรึกษามาก ย่อมมีความปลอดภัย”                                                                                      สุภาษิต 11:14

ประชาชนชาวจีนแผ่นดินใหญ่ กำลังสนใจเดินทางออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นทุกปี และนักท่องเที่ยวจีนจากจีนแผ่นดินใหญ่กำลังจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศกลุ่มใหญ่ที่สุดของโลก ตามรายงานประจำปีของการพัฒนาการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนปี 2012 ที่เปิดเผยโดย การท่องเที่ยวแห่งชาติของจีน และสถาบันการท่องเที่ยวของจีน ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ 70 ล้านคน ออกไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 22% จากปี 2010 ซึ่งเป็นจำนวน 1.2 เท่าของจำนวนชาวอเมริกันที่ออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2010 และเป็นจำนวน 3.5 เท่าของชาวญี่ปุ่นที่ออกไปเที่ยวต่างประเทศ



จำนวนการท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น 4.4 % ในปีที่แล้ว เกิดจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเสีย 30% แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลกต้องเผชิญกับผลกระทบจากเรื่องวิกฤติหนี้สินประเทศในยุโรป เรื่องวิบัติภัยโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น และเรื่องความไม่สงบทางการเมืองในประเทศตะวันออกกลาง และ อัฟริกาเหนือ รายงานประมาณการว่า ปีนี้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ถึง 78 ล้านคนเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2011 จะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ และคาดว่าจะใช้จ่ายเงินในต่างประเทศ 80 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากประมาณ 69 พันล้านเหรียญสหรัฐปีที่แล้ว
ค่าใช้จ่ายส่วนที่มากที่สุดของนักท่องเที่ยวจีนจากแผ่นดินใหญ่ประมาณ 32% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด คาดว่าจะเป็นการซื้อสินค้า อีก 21% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตามรายงานระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การที่เงินเฟ้อในประเทศและค่าเงินหยวนของจีนแข็งขึ้นต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมกันเข้าทำให้เงินหยวนมีอำนาจการซื้อในต่างประเทศมากขึ้น ได้กระตุ้นให้ประชาชนอยากออกไปท่องเที่ยว
จากการศึกษาของวิทยาลัยการท่องเที่ยวของจีนพบว่า ถ้าเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น 1% ต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่จะออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น 4.36%
เฉพาะช่วงวันหยุดประจำปีแห่งชาติเมื่อต้นเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยในต่างประเทศมีมูลค่าเท่ากับรายได้รวมจากการขายสินค้าฟุ่มเฟือยภายในประเทศจำนวน 3 เดือน
จากการศึกษาพบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนมีความพึงพอใจประเทศสเปน มาเลเซีย รัสเซีย และเยอรมัน ที่มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและการบริการที่ดีขึ้นเป็นอันมาก ประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวพึงสำนึกว่า นักท่องเที่ยวจีนไม่ได้ต้องการเฉพาะการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยยี่ห้อดังจากต่างประเทศเท่านั้น แต่ต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีด้วย ดังนั้นถ้าประเทศแหล่งท่องเที่ยวต้องการนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้น จะต้องปรับปรุงการบริการที่ให้แก่นักท่องเที่ยวจากจีนด้วย
ประเทศแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้เคียงเช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้เริ่มทำสิ่งที่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น ตัวอย่างเช่นในบางประเทศ ได้มีป้ายภาษาจีน ประเทศอื่นๆรวมทั้งสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ได้ลดขั้นตอนการขอวีซ่าของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ให้ง่ายขึ้น ประเทศแหล่งท่องเที่ยวสามารถปรับปรุงบริการที่ให้แก่นักท่องเที่ยวจีนด้วยการมีรายการโทรทัศน์ภาษาจีน และมีมัคคุเทศก์ที่พูดภาษาจีนกลางมากขึ้น รวมทั้งให้การปกป้องความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวจีนด้วย
จากสถิติที่แสดงจะเห็นว่า ฮ่องกง เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม อันดับแรกใน 10 ประเทศ ที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่นิยมไปท่องเที่ยว เมื่อปีที่แล้ว มีชาวจีนแผ่นดินใหญ่ 28.32 ล้านคนไปเที่ยวฮ่องกง ตามด้วย มาเก๊า 19.77 ล้านคน เกาหลีใต้ 2.37 ล้านคน ไต้หวัน 1.85 ล้านคน มาเลเซีย 1.74 ล้านคน ญี่ปุ่น 1.63ล้านคน ประเทศไทย 1.52 ล้านคน สหรัฐอเมริกา 1.36 ล้านคน เวียดนาม 1.14 ล้านคน และสิงคโปร์ 1ล้านคน
เห็นตัวเลขกันอย่างชัดเจนอย่างนี้แล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยต้องปรับตัวปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวและการบริการให้ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวจีนจากแผ่นดินใหญ่และเราต้องทำการตลาดในประเทศจีนมากขึ้น
มาเลเซียทำได้ดีกว่าไทยอีกแล้วในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และเวียดนามกำลังตามมาใกล้ สิ่งที่ประเทศไทย ต้องระวังคือ อย่าให้พม่าแซงหน้าเราในอนาคตนะครับ
สำหรับพี่น้องคริสเตียนไทย ขอให้คิดข้ามไปข้างหน้าว่า ในอนาคตคริสตจักรไทยจะทำพันธกิจร่วมกับคริสตจักรจีนในแผ่นดินใหญ่อย่างไร เพราะจำนวนคริสเตียนชาวจีนในแผ่นดินใหญ่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 67 ล้านคนแล้ว
William Law กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเห็นความสามารถและความอ่อนแอที่แตกต่างกันของมนุษย์ ซึ่งอาจนำพระคุณของพระองค์เมตตาต่อการปรับปรุงความดีงามที่แตกต่างกันของมนุษย์”        
J อาเมนครับ
แหล่งข้อมูล: China Daily

Top 10 Overseas Destinations for Mainland Tourists

“A nation will fall if it has no guidance. Many advisers mean security”                                                                          Proverbs 11:14
The Chinese mainland is increasing travel abroad each year and Chinese tourists from mainland China is on their way to becoming the largest source of cross-border tourists in the world. According to the Annual Report of China Outbound Tourism Development 2012, released by the National Tourism Administration and China Tourism Academy, mainland tourists made 70 million trips to foreign countries last year, up 22 percent from 2010 that was 1.2 times the number of US citizens going to foreign countries in 2011 and 3.5 times the number of Japanese citizens going abroad.



Of the 4.4 percent increase seen in cross-border tourism last year, Chinese tourists contributed 30 percent of that. That came even as the world tourism industry coped with the effects of the European debt crisis, the nuclear power plants disaster in Japan and political unrest in countries in the Middle East and North Africa. The report estimates that mainland tourists will make 78 million trips to overseas destinations this year, up 12 percent from 2011 and are expected to spend $80 billion overseas this year, up from an estimated $69 billion last year.
The greatest part of mainland tourists’ expenditures is expected to go toward shopping, accounting for 32 percent of the total. Following that is transport, taking up 21 percent of the total, the report said. Domestic inflation and the appreciation of the Yuan against the US dollar have worked together to strengthen the Yuan’s purchasing power abroad that has bolstered people's willingness to travel.
The China Tourism Academy studies found that if the Yuan appreciates by 1 percent against the US dollar, the number of overseas trips made by mainland tourists will increase by 4.36 percent.
During the National Day holiday in the first week of October last year, mainland tourists' spending on luxury goods overseas was equal to the total revenue from domestic sales of luxury goods over the course of three months.
According to the study, Chinese tourists are more satisfied with Spain, Malaysia, Russia and Germany, which have done a lot to improve tourist attractions and services. Destination countries should bear in mind that Chinese tourists do not want only to purchase brand name luxury products but they also want to have good travel experiences. Therefore, if the tourist destination countries want to increase number of mainland Chinese tourists they have to improve the services they offer to Chinese tourists too.
Nearby destinations such as Japan and South Korea have started to do more for Chinese tourists. Some, for instance, have put up signs written in Chinese. Countries including the US and Australia have taken steps to simplify the procedures mainland tourists must go through to obtain visas. Destination countries could also improve the services they offer to Chinese tourists by providing more Chinese TV programs and more tour guides who speak Mandarin. They could also do more to protect Chinese tourists' safety and property too.
Statistics have shown that Hong Kong was the top favorite destination among the top 10 destinations to which mainland Chinese tourists like to travel. Last year, 28.32 million Chinese mainland tourists visited Hong Kong followed by Macao 19.77 million, South Korea 2.3 million people, Taiwan 1.85 million people, Malaysia 1.74 million people, Japan 1.63 million people, Thailand 1.52 million people, United States 1.36 million people, Vietnam 1.14 million people, and Singapore 1.0 million people.
Having clearly seen the numbers, Thai tourist industry must improve tourist facilities and services to respond to the demand of Chinese mainland tourists and we have to do more marketing in China.
Malaysia has performed better than Thailand again in the tourist industry and Vietnam is coming closer. What Thailand has to watch closely is to not let Myanmar pass us in the future.
For Thai brothers and sisters in Christ please look forward into the future to see what our mission can be together with Chinese churches in mainland China because the number of Christians in mainland China has rapidly increased to more than 67 million people.
William Law quotes “God seeth different abilities and frailties of men, which may move His goodness to be merciful to their different improvements in virtue.”
        J Yes, Amen.

Source: China Daily