วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความชื่นชมยินดี

“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” ฟิลิปปี4:4

หลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องเด็กตาบอดที่นั่งขอทานอยู่ข้างทางเท้า โดยมีป้ายเขียนว่า “คนตาบอด ช่วยทำทานด้วยครับ” วางอยู่ข้างหน้า ในกระป๋องที่วางอยู่ข้างป้าย มีเศษเงินไม่กี่เหรียญอยู่ในนั้น
ชายคนหนึ่งหยุดล้วงเอาเหรียญสตางค์จากกระเป๋าแล้วหย่อนใส่กระป๋องให้เด็กตาบอด แล้วยืนพินิจอยู่สักครู่ จึงหยิบป้ายขึ้นมาเขียนใหม่ แล้ววางลงในที่เดิมแล้วเดินจากไป ไม่นานหลังจากนั้น มีคนหยุดหย่อนเงินใส่กระป๋องมากขึ้น จนกระทั่งเวลาเย็น เด็กตาบอดจำเสียงฝีเท้าเดินของชายคนที่หยุดเขียนป้ายได้จึงร้องถามว่า “พี่ พี่ เมื่อเช้านี้พี่เขียนอะไรใส่ป้ายของผม”
ชายคนนั้นตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกน้อง พี่ก็เขียนความจริง เหมือนที่ป้ายของน้องเขียนไว้แหละ เพียงแต่พี่เขียนใหม่ว่า “วันนี้เป็นวันที่สดใส แต่ผมมองไม่เห็น” ทั้งป้ายเดิม และป้ายที่เขียนใหม่ ต่างสื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าเด็กคนนี้ตาบอด ป้ายเดิมบอกให้ผู้อ่านรู้ว่าเด็กคนนี้ตาบอดและขอความช่วยเหลือ ส่วนป้ายที่เขียนใหม่ บอกผู้อ่านให้รู้ว่า คุณโชคดี ที่คุณไม่ได้ตาบอด คุณมองเห็นความสดใสสวยงามของโลก ไม่ได้ขอความช่วยเหลือ แต่อ่านแล้วรู้สึกสำนึกว่าตนเองโชคดี จึงให้เงินแก่ผู้โชคร้ายกว่า



ชีวิตของเราได้รับสิ่งดีจากพระเจ้ามากมาย มากจนเราเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของพระเจ้าที่ต้องทำสิ่งดีให้แก่เราเรามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เรามองด้วยสายตาและท่าทีของมนุษย์ที่คิดว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เป็นเพราะความสามารถของตนเอง เราชื่นชมความสำเร็จที่เกิดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจในความรู้ความชาญฉลาดของตนโดยลืมนึกไปว่า เบื้องหลังความสำเร็จที่เราชื่นชมยินดี คือพระเจ้าผู้ประทานโอกาสให้แก่เรา
เราควรจะสำนึกและขอบพระคุณพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดีทุกเวลาที่พระเจ้าทรงเมตตาให้เรามี
  • ความสามารถในการแก้ไขปัญหา (Problem solving) ทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น
  • ความคิดริเริ่ม (Creative) ทำให้เรามีสิ่งใหม่ที่น่าสนใจเพิ่มเข้ามาในชีวิต
  • นวัตกรรม (Innovative) ทำให้เราพัฒนาสร้างสิ่งใหม่ให้ดีกว่าเก่า
  • ความคิดแตกต่าง (Differentiate) ทำให้เราได้ความคิดที่แตกต่างกันมาหาข้อสรุปที่เป็นประโยชน์
  • ความคิดด้านดี (Positive) ทำให้เรามองเห็นความดีงามของตนเอง และของผู้อื่น 
แต่เราต้องระมัดระวังการใช้ชีวิต อย่ามองสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เป็นสิ่งปกติจนเข้าใจว่าเป็นของตนเอง


เอเฟซัส 5: 15 “เพราะฉะนั้น จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี
อย่าเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา”


Socrates กล่าวว่า “The only true wisdom is in knowing you know nothing.” ปัญญาที่แท้จริงคือการรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไรเลย เพราะปัญญาจากมนุษย์ ไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ปัญญาที่แท้จริงมาจากพระเจ้าเท่านั้น
คนมีปัญญา จึงมองชีวิตด้วยมุมมองใหม่ที่สำนึกในพระคุณพระเจ้าและชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า© อาเมน