“Being lazy will make you poor, but hard work
will make you rich.” Proverbs 10:4
เพิ่งเขียนเรื่องคนไทยไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการทำงานเป็นทีมไปได้ไม่กี่วัน
ก็เกิดเรื่องนักกีฬาแบดมินตันไทยไปไล่ตีกันเองในสนามแข่งขันที่ต่างประเทศให้คนต่างชาติเห็นเป็นขวัญตาจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลกเพราะเหตุการณ์ไล่ชกต่อยกันในสนามแข่งขันแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การแข่งขันกีฬาแบดมินตันระดับโลก
จึงเป็นเรื่องค่อนข้างร้ายแรงของสมาคมแบดมินตันไทย และเป็นอุทาหรณ์สอนใจคนไทยว่า
เราควรจะรู้จักรักกันให้มากกว่านี้
การสร้างทีมไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
เพราะคนแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกัน และความคิดของคนไม่ได้หยุดนิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ดังนั้นการจะสรรหาคัดเลือกคนให้มาร่วมทำงานในทีมงานจึงต้องพิจารณาให้ดีเพราะ
Not everyone will take the
journey.
คนแต่ละคนมีจุดหมายของตนเอง
และเป็นจุดหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้นจุดหมายของทีมงาน อาจจะไม่ใช่จุดหมายของเขา
จึงไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องร่วมเดินทางไปกับทีมงานด้วย เมื่อจุดหมายของทีมงานกับจุดหมายของเขาไม่ตรงกัน
ต่างมองดาวคนละดวง เส้นทางในการเดินไปสู่ดาวย่อมเป็นคนละเส้นทางกันอย่างแน่นอน
สถานการณ์แบบนี้ อย่าดึงคนที่มีจุดหมายต่างกันเข้ามาร่วมทีมงาน เพราะยังไงก็ไปด้วยกันไม่รอด
ไม่ช้าก็เร็ว ปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน
Not everyone should take the journey.
มีความหมายว่า
ไม่ใช่ทุกคนต้องเดินทางในเส้นทางนี้ เพราะคนบางคนเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำ เขาไม่มีความสนใจที่จะทำ
เขาไม่อยากทำ เขาเป็นคนที่ไม่มีจุดหมาย เขาไม่จำเป็นต้องเดินทางตามเส้นทางเดียวกัน
คนประเภทนี้อย่าเสียเวลาลากเข้ามาร่วมทีมงาน เพราะจะทำให้ทีมงานเสียเวลา
และสิ้นเปลืองพลังงาน ทำให้ทีมงานมีปัญหาเพิ่มขึ้น
Not everyone can take a journey.
คนประเภทนี้อยากร่วมเดินทางไปกับทีมงาน
แต่ตัวของเขาไม่มีคุณสมบัติที่ทีมงานต้องการ เขาไม่มีความสามารถ
หรือทักษะที่ทีมงานต้องการใช้ แม้เขาจะมีความอยาก มีความตั้งใจดี อยากจะเข้าร่วมงานกับทีมงาน
แต่ถ้าดึงคนประเภทนี้เข้ามาร่วมทีมงานก็ไม่สามารถสร้างผลิตผลหรือสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับทีมงานมากนัก
จึงไม่ควรนำเอาคนแบบนี้เข้ามาร่วมกับทีมงาน เพราะเขาไม่สามารถเดินในเส้นทางนี้ได้
ความล้มเหลวในการสร้างทีมงานส่วนหนึ่งมาจากความไม่เข้าใจธรรมชาติของการพัฒนาทีมงาน
เพราะการสร้างทีมงานเป็นกระบวนการที่มีการเริ่มต้น และการสิ้นสุดของกระบวนการ
ซึ่งอาจจะกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
Forming การก่อตัว
เป็นช่วงเริ่มต้นในการสรรหาคนที่มีความรู้
ความสามารถ และทักษะที่ต้องการเข้ามาร่วมเป็นทีมงาน
ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาในการหาคนที่มีความรู้ความสามารถตามที่ต้องการ แต่มักจะมีปัญหาในเรื่องทำอย่างไรถึงจะให้คนที่สรรหามาได้เหล่านี้มีคุณสมบัติที่จะทำงานร่วมกันได้และอยู่ด้วยกันในระยะเวลาที่ต้องการได้
เพราะถ้าคนที่ต้องมาอยู่ทำงานร่วมกันเกิดเป็นส่วนผสมที่ไม่ถูกต้องเข้ากันไม่ได้
การก่อตัวของทีมงานอาจล้มเหลว กลายเป็นทีมงานที่ไม่ทำงาน
Storming การระดมความคิด
ถ้าสามารถรวมตัวกันได้
พัฒนาการต่อจากนี้คือการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ทัศนะ แนวทางการทำงาน ซึ่งแต่ละคนในทีมงานจะแสดงออกมาเพื่อต้องการจะทำงานในแนวทางตามความคิด
ความถนัด ความชอบของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าคนเก่ง
คนมีความสามารถย่อมไม่ยอมให้ใครมานำกันได้ง่ายๆ
การถกเถียงแสดงออกในช่วงแรกจึงค่อนข้างจะแข็งกร้าว รุนแรงเหมือนพายุ
แต่ในที่สุดจะค่อยปรับตัว อ่อนตัวลง ความเป็นทีมงานจะเริ่มปรากฏ
Norming การสร้างบรรทัดฐาน
เมื่อการแสดงออกทางความคิดเห็นในทีมงานเริ่มได้ข้อสรุปที่เป็นทางออกร่วมกันได้แล้ว
ข้อตกลงที่เกิดขึ้นหลังการต่อสู้กันทางความคิดเห็นจนตกผลึกแล้ว จึงกลายเป็นแนวทางที่ทุกคนในทีมทำงานเริ่มยอมรับ
หรือกลายเป็นบรรทัดฐานของทีมงาน เป็นกฎ กติกา มรรยาท ในการทำงานร่วมกันของทีมงาน
Performing
เมื่อได้สร้างกฎเกณฑ์ในการทำงานร่วมกันแล้ว
การทำงานเริ่มเกิดผลเพราะทุกคนในทีมงานมีความเข้าใจขอบเขตความรับผิดชอบของตนเอง และเริ่มเข้าใจความคิด
และวิธีการทำงานของเพื่อนในทีมงานที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง มีความไว้วางใจกันในทีมงานมากขึ้น
มีความเข้าใจอุปนิสัย รู้จักจุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละคนในทีมงานมากขึ้น
งานจึงเดินหน้า และการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเริ่มทำงานเป็นทีมได้แล้ว
อ่านมาถึงตรงนี้ท่านคงจะเกิดความคิดแย้งในใจขึ้นมาว่า
มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เขียนหรอก เพราะคนที่เข้ามาร่วมทีมงาน มักจะไปด้วยกันไม่ค่อยได้
เพราะ
·
Not everyone can work with
other team members
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นในทีมงานได้
คนบางคนไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้จริงๆ เพราะเป็นคนมีศรศิลป์ไม่กินกับคนอื่นได้ง่าย
เป็นประเภทน้ำที่ไปผสมกับน้ำมันไม่ได้ เข้าไปที่ไหนก็มีปัญหากับที่นั่น
เป็นคนที่น่าสงสารเพราะต้องทำงานคนเดียว
·
Not everyone can grow
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเติบโตได้
คนบางคนมีปัญหาเรื่องความรับผิดชอบ ทำงานได้แค่ที่เคยทำ รับผิดชอบได้แค่ที่เคยได้รับมอบหมาย
ไม่มีความพยายามที่จะเติบโตในเรื่องความรับผิดชอบ
เป็นคนไม่สนใจในเรื่องการพัฒนาตนเองให้มีคุณค่ามากขึ้น
อยู่ทำงานไปวันๆได้โดยไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ
·
Not everyone see the same
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นภาพเดียวกัน
แม้ว่าจะชี้ให้ทุกคนมองไปทางทิศเหนือเหมือนกัน หลายคนมองเห็นภูเขา
แต่อีกคนหนึ่งกลับมองเห็นเมฆเหนือภูเขา การทำงานในลักษณะเป็นทีมทุกคนในทีมงานต้องมองเห็นภาพเดียวกันก่อนถึงจะทำงานร่วมกันได้
·
Not everyone knows the
weakness
ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักจุดอ่อนของตน
ซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำงานเป็นทีม เพราะจุดอ่อนของคนบางคนในทีมงานอาจกลายเป็นจุดอ่อนของทั้งทีมงานได้
ถ้าคู่แข่งขันรู้จุดอ่อนอยู่ที่ใคร ก็จะมุ่งโจมตีจุดอ่อนนั้น คนบางคนแม้จะมีคนชี้แนะให้รู้จุดอ่อนของตน
แต่ไม่ยอมรับ ไม่ยอมแก้ไขจุดอ่อนของตน กลับไม่พอใจเห็นเป็นการดูแคลนด้วยซ้ำไป
เหมือนสุภาษิตฝรั่งว่า
“A
cracked bell can never sound well.” ระฆังแตกไม่มีวันจะเสียงดี
·
Not everyone has the same
expectation
ไม่ใช่ทุกคนจะมีความคาดหวังเหมือนกัน
ความคาดหวังของบางคนสูงมาก แต่บางคนกลับไม่คาดหวังอะไรมากนัก ทำให้ความมุ่งมั่นของแต่ละคนแตกต่างกัน
ถ้าคนที่มีความคาดหวังสูงเป็นคนเครื่องร้อน ต้องมาทำงานกับคนไม่คาดหวังอะไรมากนัก
เป็นคนเครื่องเย็น คงจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในทีมงานในเวลาต่อมา
เพราะการหาคนมาทำงานเป็นทีมงานที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
ฝรั่งถึงเรียกว่า Dream team คือเป็นทีมในความฝันเพราะในความเป็นจริงเกิดขึ้นได้ยากมาก
เนื่องจากในแต่ละทีมงานแม้จะคัดสรรกันอย่างไร มักจะได้สมาชิกทีมงานที่เป็นจุดอ่อนปนเข้ามาเสมอ
ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดปัญหาในระดับต่อไปเมื่อคนที่แข็งแกร่งกว่าในทีมงานเริ่มรู้ว่าคนใดในทีมเป็นจุดอ่อนของทีมงาน
ความสนใจจะพุ่งเป้ามาที่คนอ่อนแอของทีมงาน และด้วยความหวังดี ทุกคนในทีมงานจะรุมกันให้การช่วยเหลือประคับประคองคนที่อ่อนแอของทีม
ในบางกรณีทำให้คนที่อ่อนแอฉวยโอกาสเกาะความช่วยเหลือของคนอื่น หรือในทางตรงกันข้ามคนที่อ่อนแอเกิดความกดดัน
ไม่ต้องการรับความช่วยเหลือจากใคร
และในบางครั้งกลับตัดสินใจทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายเพื่อต้องการพิสูจน์ว่าตนไม่มีจุดอ่อน
เลยทำให้เกิดปัญหาซ้อนปัญหาให้กับทีมงาน
ปัญหาในการทำงานเป็นทีมของคนไทยอาจจะแตกต่างจากการทำงานเป็นทีมของชนชาติอื่นๆ
เพราะวัฒนธรรมในการอบรมสั่งสอนของคนไทยทั้งในครอบครัวและที่โรงเรียนมักจะมุ่งไปที่การสอนเด็กให้มองเห็นข้อบกพร่องของคนอื่นมากกว่ามองเห็นข้อบกพร่องของตนเอง
เราสอนเด็กให้รู้จักเอาตัวรอดโดยชี้ความบกพร่องไปที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวแทนที่จะสอนเด็กให้รู้จักสำรวจความบกพร่องหรือจุดอ่อนของตนแล้วพัฒนาแก้ไขจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง
เมื่อโตขึ้นต้องทำงานร่วมกัน มักจะเกิดปัญหาจากทัศนะคติที่มุ่งมองแต่จุดบกพร่องของผู้อื่นโดยไม่มองจุดบกพร่องของตนเอง
มองหาโอกาสที่จะตำหนิผู้อื่นมากกว่าการชมเชยผู้อื่น
หลี่ปุ๊เหว่ย
ปราชญ์ชาวจีนกล่าวว่า "ก่อนที่จะเอาชนะคนอื่น..ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้เสียก่อน...
ก่อนที่จะว่าคนอื่น...ควรพิจารณาดูตัวเองเสียก่อน และ....ก่อนที่จะรู้จักคนอื่น...ควรจะรู้จักตัวเองเสียก่อน"
เป็นความจริงที่....ถ้าคนไทยทำได้
ประเทศไทยจะมีความสุขมากกว่านี้มากครับ
หมายเหตุ:
เขียนเรื่องนี้ที่ SUNTEC, SINGAPORE
ในขณะเข้าร่วมการสัมมนาเรื่อง “Be
the Change: transforming leadership perspectives”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น