“Nothing will stand in your way if you walk wisely, and you will
not stumble when you run.” Proverbs 4:12
การทำสิ่งที่แตกต่างไปจากสิ่งที่คนทั่วๆไปทำ
เป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของผู้นำ
เพราะถ้าใครเป็นคนที่ต้องคอยทำอะไรตามคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คนๆนั้นก็ไม่ใช่ผู้นำแน่นอน
ความเป็นผู้นำทำให้เขาจำเป็นต้องนำองค์กรและตัวเองให้รอดจากปัญหาที่พบ และสามารถเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เพื่อรักษาสถานะความเป็นผู้นำของเขาไว้ เนื่องจากผู้นำอยู่ได้ด้วยความสำเร็จภายใต้การนำของตนเอง
เมื่อใดที่ความล้มเหลวมาเยือน ความเป็นผู้นำถูกสงสัยทันที
และความเป็นผู้นำของเขาสั่นคลอน เพราะคนที่ติดตามผู้นำต้องการผลสำเร็จจากการนำของผู้นำไปสู่เป้าหมายที่พวกเขาต้องการ
ผู้นำที่ต้องการความสำเร็จจึงต้องทำอะไรมากกว่าปกติ (Do
something extra) ทั้งในความเป็นวิชาชีพ (Professional) และความเป็นส่วนตัว (Personal) เพื่อสามารถสร้างความแตกต่างจากคนอื่นและสามารถนำคนอื่นไปสู่ความสำเร็จที่ต้องการ
ได้อ่านบทความของ Paula Davis-Laack ซึ่งเธอเป็นนักกฎหมาย แล้วตัดสินใจข้ามสายไปเรียนปริญญาโทด้าน Positive
Psychology ที่ University of Pennsylvania ก่อนจะมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาให้คำแนะนำและการฝึกอบรมของตนเอง
จนเริ่มมีชื่อเสียงในด้านการให้คำปรึกษาเรื่องการลดความเครียดในองค์กร
การทำให้ที่ทำงานมีสุข การทำให้คนในองค์กรไม่หมดพลังในการทำงาน และจากการที่ได้มีประสบการณ์คลุกคลีกับผู้บริหารผู้นำองค์กรที่ประสบความสำเร็จจำนวนนับร้อยนับพันองค์กร
เธอได้สรุปเหตุผลที่ผู้นำประสบความสำเร็จว่าเป็นเพราะ ผู้นำกล้าทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น
(Do differently) ซึ่งผมขออนุญาตนำมาเสริมเพิ่มเติมแต่งให้ท่านได้อ่าน
ณ บัดนี้
1.
ความสัมพันธ์มาก่อน
(Relationship first)
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่สร้างเครือข่าย
(Networks)
ให้แก่ตนเองเท่านั้น แต่จะพยายามทะนุถนอมการติดต่อเคลื่อนไหวเพื่อให้เครือข่ายของตนไม่ฝ่อไม่ตาย
ผู้นำจึงต้องให้เวลาในการติดต่อ สร้างความสัมพันธ์กับสมาชิกในเครือข่ายของตนผ่านกิจกรรมต่างๆที่ทำร่วมกับคนในเครือข่าย
ซึ่งอาจจะเป็นลูกค้า เพื่อนร่วมวิชาชีพ เพื่อนที่ทำธุรกิจด้วยกัน เพื่อนทั่วๆไป
เพื่อนรุ่นน้องรุ่นพี่ และคนในสังคมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแน่นอนว่าผู้นำต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำกิจกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ที่มีเครือข่าย Social network เข้ามาเพิ่มเติมในชีวิต
ทำให้ผู้นำต้องใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว (Personal
relationships) กับเครือข่ายที่ตนเองมีความสัมพันธ์มากขึ้น ดังที่ Robert Martin กล่าวว่า
“Taking an interest in what others are thinking and doing is often a much more
powerful form of encouragement than praise.” การให้ความสนใจในสิ่งที่คนอื่นคิดและทำ
มักจะมีพลังในการให้กำลังใจมากกว่าคำยกย่องสรรเสริญ
เพราะการให้ความสนใจสิ่งที่คนอื่นคิดและทำเป็นพื้นฐานนำไปสู่การพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา
ข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวที่ผู้นำได้รับรู้ในแต่ละวันจากเครือข่ายที่ประกอบด้วยผู้คนจากหลากหลายวงการทำให้ผู้นำเข้าใจทิศทางความเคลื่อนไหวของกระแสสังคมอย่างทันต่อเหตุการณ์
ทำให้ผู้นำสามารถเข้าใจบริบทของสิ่งแวดล้อมที่ตนเองเป็นผู้นำอยู่
ความสัมพันธ์จึงเป็นท่อเชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างผู้นำกับผู้ติดตามเขา
ทำให้การนำของเขามีประสิทธิภาพ ความเป็นผู้นำของเขาจึงประสบความสำเร็จ
2.
ทำสิ่งที่มีความหมาย (Meaning
matters)
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จทำงานโดยมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเองตัดสินใจทำ
เขาเห็นความหมายและความสำคัญในงานที่ทำ ภาระกิจที่เขารับผิดชอบ และเชื่อมโยงคุณค่าความหมายที่ความสำคัญนี้เข้ามาในชีวิต
ในธุรกิจ ในงานที่ทำ นักธุรกิจ ผู้ประกอบการและผู้นำที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อมาถึงจุดหนึ่งในการเป็นผู้นำ จะมองหาจุดแตกต่างของการเป็นผู้นำ
เขาจะมองหาช่องทางใหม่ในการทำให้ธุรกิจ หรือองค์กรที่เขาเป็นผู้นำ
ทำสิ่งที่มีความหมายลึกและกว้างมากขึ้น ทำสิ่งที่สังคมได้รับประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จพยายามทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น โดยทำในสิ่งที่มีความหมายความสำคัญ
(Significant
context) ต่อตนเอง ต่อองค์กร และต่อสังคม
3.
มีอารมณ์ขัน (Sense
of Humor)
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จสามารถจัดการกับเรื่องยากๆ
ด้วยอารมณ์ที่ไม่ยุ่งยาก และมองมุมปัญหาด้วยมุมมองขำขำ
อารมณ์ขันเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้นำพึงต้องมีเพราะอารมณ์ขันสร้างอารมณ์บวก (Humor
builds positive emotion) อารมณ์บวกทำให้ผู้นำลดความเครียด
ความกังวล ความโกรธ ความเศร้าได้ มีงานศึกษาวิจัยหลายชิ้นรายงานว่าอารมณ์บวกทำให้คนมีความยืดหยุ่น
และมีความพึงพอใจในชีวิต (Life satisfaction) มากขึ้น และที่น่าสนใจมากกว่าคือเขาบอกว่ายิ่งสถานการณ์มีความกดดันมากเท่าไหร่
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จยิ่งจะมองชีวิตในแง่มุมที่ขบขันมากขึ้น
การมีอารมณ์ขันทำให้สภาพแวดล้อมไม่ตึงเครียดเกินความจำเป็น
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะสามารถทำให้คนผ่อนคลายความวิตกกังวลในปัญหาที่เผชิญเฉพาะหน้าได้
ผู้นำในยามวิกฤติย่อมไม่ซ้ำเติมเพิ่มความเครียดให้กับตัวเอง
แต่จะเปลี่ยนมุมมองที่แตกต่าง จากมุมมองที่หนักเป็นมุมมองที่เบา
จากมุมมองที่เครียดเป็นมุมมองที่ผ่อนคลาย
4.
นำและอยู่ด้วยความเข้มแข็ง
(Lead and live with their strengths)
งานวิจัยขององค์กรGallup
พบว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะทุ่มเทให้กับการสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง
และอยู่กับความเข้มแข็ง โดยผู้นำจะใช้เวลาคลุกคลีกับคนที่ดีมีคุณภาพเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีมงานของเขา
และเรียนรู้เข้าใจความต้องการของผู้ที่ทำงานให้กับเขา
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จรู้และเข้าใจอย่างชัดเจนว่า
เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่ทุกคนไม่ได้ (They cannot be everything to
everybody.)
ดังนั้นผู้นำที่มีประสิทธิภาพจึงต้องรู้จักการเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้กับตนเองโดยผสมผสานทักษะและความสามารถเฉพาะของตนกับคนที่เหมาะสมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตน
เพิ่มประสิทธิภาพในการนำ ทำให้ตนเองสามารถนำได้ รักษาความเป็นผู้นำได้ และอยู่ในสถานะผู้นำได้อย่างเข้มแข็ง
5.
ควบคุมความคิดในแง่ร้าย
(Manage pessimistic thinking)
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จสามารถจัดการกับความคิดในแง่ร้ายได้
แน่นอนว่าในการเป็นผู้นำ
ชีวิตไม่ได้ราบเรียบลื่นไหลไปกับผู้ที่สนับสนุนเห็นด้วยกับเขาตลอดเวลา เพราะในความเป็นจริงต้องมีสถานการณ์ร้ายที่เข้ามาเยือนท้าทายความเป็นผู้นำอยู่เสมอ
การมีผู้คิดร้ายต่อผู้นำจึงเป็นเรื่องปกติและยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะรู้จักเลือกให้ความสนใจกับการใช้เวลาและพลังงานในจุดที่เขาสามารถควบคุมได้
ผู้นำที่ฉลาดจะรู้ว่าเวลาใดที่ควรจะทำหรือเดินหน้า (When to move) เวลาใดที่ควรจะนิ่งหรือถอยคอยจังหวะ เมื่อเห็นว่าแผนยุทธศาสตร์
หรือแผนการของตนจะไม่เกิดผลตามที่คาดหมายไว้
หรือกำลังตกอยู่ในพื้นที่ที่เขาไม่สามารถควบคุมได้
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จรู้จักขี่โอกาส
เมื่อกระแสคลื่นโถมเข้าหาเขารู้จักโหนไปกับกระแสคลื่นซึ่งโยนขึ้นโยนลง (Bumpy
ride) และมีความอดทนมากพอเพราะรู้ว่าอีกไม่นานคลื่นลมก็จะสงบ เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องร้ายผู้นำที่ประสบความสำเร็จรู้จักแบ่งแยกเรื่อง
(Compartmentalizing) เป็นส่วนๆ ไม่ปล่อยให้ส่วนร้ายที่เข้ามาในชีวิตการเป็นผู้นำไปปนกับส่วนดีในชีวิตของตน
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะควบคุมพื้นที่ไม่ปล่อยให้เรื่องร้ายที่เข้ามาไปกระทบทำลายส่วนดีในการเป็นผู้นำของเขา
6.
กำหนดโชคของตน (Make
their own luck)
ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ
ไม่คอยความเฮง แต่มีความอดทนพยายาม (Perseverance) และมีความรัก (Passion) ในเป้าหมายของตน ดังนั้นผู้นำที่มีประสิทธิภาพจึงทนได้เพื่อความสำเร็จในระยะยาว
จากการศึกษานักเรียนทหารโรงเรียนนายร้อย West Point ของสหรัฐอเมริกา
เพื่อหาสาเหตุว่าอะไรทำให้นักเรียนนายร้อยเรียนไม่สำเร็จต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน
และอะไรคือคุณสมบัติที่ทำให้นักเรียนนายร้อยเรียนจบหลักสูตร ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มนักเรียนนายร้อยที่เรียนจบหลักสูตรหาใช่นักเรียนที่เรียนเก่ง
มี IQ สูงกว่าปกติ หรือ มีความสามารถรอบด้าน หรือเป็นนักกีฬาที่มีร่างกายแข็งแรง
แต่เป็นนักเรียนผู้ที่มีคุณสมบัติมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมาย ไม่ย่อท้อต่อความท้าทาย
ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมรับความล้มเหลว ไม่ยอมเลิกรา
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีคุณสมบัติการเป็นผู้มีความหนักแน่นในเป้าหมาย
มีความอึดในการเผชิญความท้าทาย มองความสำเร็จมาจากความสามารถและความเพียรพยายามมากกว่าการรอคอยโชค
7.
บริหารพลังของตนเอง
(Manage energy)
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ
รู้จักการบริหารจัดการชีวิตของตนได้อย่างสมดุล
เพราะชีวิตผู้นำต้องใช้เวลาและพลังงานมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
เนื่องจากคนมีความคาดหวังต่อผู้นำสูงกว่าปกติ ดังนั้นผู้นำจึงต้องระมัดระวังเรื่องการรักษาพลังงานของตน
ให้มีพลังงานไว้ใช้อย่างสม่ำเสมอจนถึงจุดหมาย ไม่เป็นคนแรงต้นอ่อนปลาย ผู้นำที่ดีต้องสามารถบริหารการปลดปล่อยพลังงาน
(Energy
expenditure) ให้ได้จังหวะกับการฟื้นพลัง (Energy renewal) กลับมาทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป จึงจะสามารถนำคนไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ ผู้นำบางคนบริหารพลังงานอย่างไม่เป็นระบบ
โหมงานจนเสียสุขภาพ เสียเพื่อนที่ดี เสียครอบครัว เพราะใช้พลังงานมากเกินไปจนเกิดอาการหมดพลัง
(Burn-out) ทำให้การนำของเขาล้มเหลวไปอย่างน่าเสียดาย
Joel Baker กล่าวว่า
“A leader is a person you will follow to a place you wouldn’t go by
yourself.” ผู้นำคือผู้ที่เราจะเดินตามไปในที่ๆเราจะไม่เดินไปโดยลำพังตัวเราเอง
ผู้นำจึงต้องรักษาพลังงานของตนให้ดีในการนำคนอื่นให้เดินตามไปจนถึงที่หมาย เมื่อใดที่ผู้นำหมดพลัง
ความเป็นผู้นำของเขาก็หมดตามไปด้วย เพราะเขายังเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย
น่าเสียดายที่ประธานาธิบดี
Hugo
Rafael Chaves Frias ผู้นำคนสำคัญของประเทศ Venezuela และเป็นผู้นำเชิงสัญญลักษณ์ของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ได้หมดพลังลาโลกไปเสียแล้วด้วยวัยเพียงแค่
59ปี V
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น