วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Mark Zuckerberg ผู้สร้าง Facebook

“To those with insight, it is all clear; to the well-informed, it is all plain.
 Choose my instruction instead of silver; choose knowledge rather than the finest gold.”                                                                 Proverbs 8:9-10

ประมาณเที่ยงวันของวันที่ 14 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ใช้ Facebook ได้ทะลุผ่านจำนวน 1,000,000,000 คน หรือประมาณเท่ากับ 1 ใน 7 ของประชากรโลก เป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้โลกที่มีผู้ใช้สื่อสังคมบน internet มากเกินพันล้านคน ว่ากันว่าในโลกนี้จะมีเพียงบริษัท Coca Cola ที่ขายน้ำอัดลมได้เกินพันล้านกระป๋อง และ ร้านMcDonald’s ที่ขาย Hamburger ได้เกินพันล้านชิ้นให้ลูกค้าแล้ว
Mark Zuckerberg ในวันนี้ที่มีอายุ 28 ปี แล้ว รวมทั้งทีมงาน Facebook ของเขา ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเหมือนกันว่าโปรแกรมที่เขาเขียนขึ้นในหอพักที่มหาวิทยาลัย Harvard ขณะที่เขายังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ใช้เพื่อความสนุกสนานตามประสาวัยรุ่นกับเพื่อนๆนักศึกษาจะกลายเป็นตำนานใหม่ของโลกที่เปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างมากมาย

Mark  Zuckerberg เกิดและเติบโตที่เมือง New York ในขณะเรียนชั้นมัธยมศึกษา เขาสนใจเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา Atari Basic โดยการเรียนรู้จากพ่อของเขาซึ่งเป็นทันตแพทย์ ต่อมาพ่อได้จ้าง นักพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสอน Mark Zuckerberg เพิ่มเติม เป็นการส่วนตัวทำให้เขาเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขามีความชอบในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากจนสามารถเขียนโปรแกรมการสื่อสารระหว่าง computer ที่บ้านของพ่อกับ computer ที่คลินิกทันตกรรมของพ่อได้
Mark Zuckerberg เป็นเด็กเรียนเก่ง เมื่อเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมได้รับคัดเลือกให้ไปเรียนที่ Phillips Exeter Academy และเขาได้รับรางวัล ในวิชาวิทยาศาสตร์และวิชาวรรณคดี ในใบสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย Harvard เขาเขียนระบุว่านอกจากภาษาอังกฤษแล้ว เขามีความสามารถอ่านและเขียนภาษา ฝรั่งเศส (French) ฮีบรู(Hebrew) ลาติน (Latin) และกรีกโบราณ (Ancient Greek)
เมื่อเข้าศึกษาที่ Harvard University เขาเลือกวิชาเอก วิทยาการคอมพิวเตอร์และจิตวิทยา (Computer Science and Psychology) ในขณะที่เรียนอยู่ในปีที่2 เขาได้เขียนโปรแกรม Facemash เพื่อใช้เป็นสื่อสังคมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย Harvardโดยเอารูปนักศึกษามาลงใน Facemash ที่เป็น Web page ที่เขาสร้างขึ้น และเชิญชวนให้นักศึกษาใน Harvard ลงคะแนน Vote รูปนักศึกษาที่เห็นว่าสวย มีเสน่ห์ ร้อนแรง เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อความสนุกสนานตามประสาคนหนุ่ม แต่ปรากฏว่าเมื่อนำ Facemash ขึ้น web ในวันศุกร์มีนักศึกษาเข้ามา Vote กันมากมาย จนเกิดความวุ่นวายขึ้นเพราะคนในมหาวิทยาลัยมีความเดือนร้อนในการเข้าใช้ internet ดังนั้นในวันจันทร์ทางมหาวิทยาลัยจึงจัดการปิด web page ของเขา เพราะมีคนร้องเรียน ถึงความเดือดร้อนทั้งในการใช้งานทาง internet และนักศึกษาสาวๆที่ถูกเอารูปไป Posted ให้เพื่อนลงคะแนนโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน จน Mark Zuckerberg ต้องออกมาขอโทษ
แม้ว่า webpage เจ้าปัญหาของเขาจะถูกมหาวิทยาลัย Harvard สั่งปิดไป แต่ก็มีนักศึกษาจำนวนมากเสนอแนะให้ทางมหาวิทยาลัย Harvard พัฒนาWebsite ที่สามารถให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยใช้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น โดยสามารถนำรูปของตนและข้อมูลส่วนตัวขึ้นไป posted ใน web เพื่อสามารถติดต่อกันได้ทาง internet เหตุการณ์นี้ ทำให้ Mark Zuckerberg เกิดความคิดว่าถ้าทางมหาวิทยาลัย Harvardไม่ทำwebsite นี้ขึ้นมา เขาจะพัฒนา website ของเขาขึ้นมาเองให้ดีกว่า website ที่ทางมหาวิทยาลัยจะคิดพัฒนาขึ้นมา และในที่สุดความอยากทำโครงการwebsiteในความคิดฝันนี้ให้สำเร็จ ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย Harvard ขณะเรียนในชั้นปีที่2 เพื่อใช้เวลาในการพัฒนา website ติดต่อกันทางสังคมของนักศึกษาที่เขามีความสนใจอยากจะทำให้สำเร็จ
จากสมุดเก็บรูปและที่อยู่ของเพื่อนๆ (Photo Address Book) สมัยเรียนโรงเรียนมัธยม ที่นักศึกษานิยมเรียกว่า Face Book ได้กลายเป็นพื้นฐานให้แก่ Mark Zuckerbergในการพัฒนา Facebook ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นสื่อทางสังคมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนๆของเขาในมหาวิทยาลัย Facebook ถูกนำไปเผยแพร่ใช้ในสังคมมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัย Harvard ก่อนจะลุกลามถูกนำไปใช้ในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียนอื่นๆทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา และระบาดหนักไปทั่วโลก
Mark Zuckerberg พร้อมกับเพื่อนบางคนย้ายไปอยู่ที่ Palo Alto, California ในปี 2007 เช่าบ้านหลังเล็กๆเป็นสำนักงาน ก่อนจะได้พบ Peter Thiel ที่สนใจลงทุนในบริษัท  
Mark Zuckerberg กลายเป็นเศรษฐีพันล้านเมื่ออายุ 23 ในปี 2010 เพราะมีคนใช้ Facebook ทั่วโลกถึง 500 ล้านคน และเขากลายเป็น 1 ใน 100 คนที่มีความร่ำรวยและทรงอิทธิพลของโลกโดยได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสาร Time magazine และเรื่องราวชีวิตและผลงานของเขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Social Network
ความสำเร็จของ Mark Zuckerberg หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะมีโชคช่วย แต่ความเฮงอย่างเดียวคงไม่สามารถพัฒนาได้ไกลถึงขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้ Facebook ประสบความสำเร็จ จึงไม่ใช่เรื่องของความเฮงเพียงอย่างเดียวแน่นอน แต่เป็นเพราะความมุ่งมั่นในการทำงานของเขา เพราะในเวลาเดียวกันกับที่ Mark Zuckerberg กำลังพัฒนา Facebook นั้น มีบริษัทที่มีศักยภาพหลายบริษัททำการพัฒนา website สื่อบริการทางสังคม (Social service) เหมือนกัน และน่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ความสำเร็จของ Facebook มาจากคำขวัญสั้นๆแต่ความหมายยาวไกลของ Mark Zuckerberg ที่ว่า “Move Fast and Break Things” อาจจะพอแปลเป็นไทยได้ว่า “เดินหน้าเร็ว และ ทำสิ่งใหม่” ทำให้ Facebook ไปถึงหลักชัยได้รวดเร็วกว่าคนอื่น
Facebook พัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2008 มีเจ้าหน้าที่ทำงาน 600 คน มีวิศวกรเพียง 150 คน แต่ในเดือน มิถุนายน 2012 ปีนี้ มีคนทำงานในบริษัท Facebook ถึง 3,976 คน โดยมีวิศวกรถึง 1,000 คน ดูแลผู้ใช้ Facebook ทั่วโลก หรือเฉลี่ยแล้ว วิศวกร 1 คน ดูแลผู้ใช้ Facebook 1 ล้านคน
การที่มีคนใช้ Facebook ถึง หนึ่งพันล้านคนทำให้ Facebook กลายเป็นคลังข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้บริษัทจำเป็นต้องสร้างคลังเก็บข้อมูลขนาดใหญ่อยู่ที่เมือง Prineville รัฐ Oregon สหรัฐอเมริกา มีเนื้อที่ 330,000 ตารางฟุต เนื้อที่คลังเก็บข้อมูลใหญ่โตมหาศาลขนาดนี้ จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลพร้อมกับความพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานไปพร้อมๆกัน บริษัทต้องระดมวิศวกรจำนวนมากช่วยกันคิด ในการออกแบบอาคารและการใช้สอยพื้นที่อย่างเหมาะสมเพื่อความมีประสิทธิภาพสูงสุด และอาคารนี้กำลังเป็นต้นแบบที่บริษัทจะสร้างอาคารลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายเมืองในสหรัฐอเมริกา และที่ประเทศสวีเดน
ทุกครั้งที่เราเข้า Facebook ไม่ว่าเราและเพื่อนๆทาง Facebook ของเราจะทำอะไร โปรแกรมของ Facebook จะทำงานได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทุกวันจะมีสมาชิก Facebook ถึง 2.7 พันล้านคน กด Like มีคนใช้ Facebook มากถึง 300 ล้านคน ที่ถ่ายรูปแล้วส่งภาพ (Up load) ให้สังคมเพื่อนบน Facebook ได้เห็นกิจกรรมความเคลื่อนไหว และทุกวันจะมีสมาชิก Facebook ถึง 2.5 ล้านคนเข้าตรวจหน้า Facebook ของตน และมีการทำรายการอื่นๆอีกมากมาย จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไม Facebook จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หลักคุณค่าในการทำงานที่ Facebook คือให้ความสนใจที่ผลที่เกิดขึ้นเป็นอันดับแรก (The No. 1 value here is focus on impact.) ถ้าคุณมีความคิดใหม่ๆแรงๆในวันนี้ วันพรุ่งนี้อาจจะมีคน 500 ล้านคนทั่วโลกทดลองใช้ สิ่งใหม่ที่คุณนำเสนอ ผู้บริหารของFacebook ให้อิสระแก่ทีมงานในการเสนอสิ่งใหม่ๆเสมอ และกล้าลองใช้สิ่งใหม่อย่างรวดเร็ว โดยมีหลักคิดว่า ยิ่งเราเรียนรู้ได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งดี เพราะเราจะได้รูปแบบของสิ่งที่เราควรจะไปถึงเร็วขึ้นเท่านั้น การทำงานของทีมงาน Facebook จึงตั้งอยู่บนหลักการทำงานที่ลองกับของจริง (Work on the live site) แม้จะมีความเสี่ยงต่อการล่ม (Site crashes)ในขณะทดลองใช้ก็ตาม Mark Zuckerberg ยอมรับว่าบริษัท Facebook ได้ทำความผิดพลาดมากกว่าบริษัทอื่น (“We make more mistakes than other companies do”) เพราะเมื่อบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ที่มีโอกาสทำสิ่งที่ผิดพลาดได้มากมาย และทำให้เดินไปข้างหน้าช้าลงเพราะต้องเสียเวลามากในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด (“ As we’ve gotten bigger, it is possible to make so many mistakes that you’re actually moving slower because you’re spending a lot of time fixing mistakes.”)
            Mark Zuckerberg กล่าวว่า “You can’t have everything, so you just have to choose what your values are and where you want to be.” คุณไม่สามารถมีทุกอย่างได้ ดังนั้นคุณจำต้องเลือกสิ่งที่คุณเห็นว่ามีค่า และที่ใดที่คุณต้องการไปถึงJ

แหล่งข้อมูล: www.businessweek.com/articles/2012-10-04/facebook-the-making-of-1-billion-users


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น