วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

ความเครียด

“พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่าเหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า
อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน และอย่ากระวนกระวาย
ถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม เพราะว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร
และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม            ลูกา 12:22-23

เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วว่าเราต้องมีชีวิตอยู่กับความเครียด เนื่องจากความเครียดได้เข้ามามีส่วนในชีวิตเราเกือบทั้งหมด ความเครียดมีบทบาทสำคัญในการทำให้สุขภาพของเราเสื่อมลง และสามารถเป็นสาเหตุของโรคทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ความเครียดทำร้ายความสัมพันธ์ในครอบครัว ทำลายชีวิตการทำงาน และที่เลวร้ายที่สุด บางครั้ง ความเครียดทำให้คนบางคนจบชีวิตอย่างไม่สมควร
เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่มีสิ่งมากมายให้วิตกกังวลได้อย่างต่อเนื่องทุกๆวัน เราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้วันต่อวัน ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ มันกดดันเราให้เกิดความเครียด เราเกือบจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องอยู่กับความเครียด เพราะเราสามารถควบคุมชีวิตของเราได้เพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น
อันที่จริง ความเครียดได้เข้ามาอยู่ในชีวิตมนุษย์นับตั้งแต่มนุษย์คู่แรก อาดัม และอีฟ ไม่เชื่อฟังพระเจ้าด้วยการกินผลไม้ในสวนที่พระเจ้าสั่งห้ามไว้(ปฐมกาล 3:1-13) ทันทีที่กินผลไม้ที่ต้องห้าม ทั้งสองคนเกิดความรู้สึกอายและเข้าใจว่าตนองเปลือยกายอยู่ จึงร้อยใบไม้และนำมาปกปิดร่างกาย นี่คือนาทีแรกที่ความเครียดได้เข้ามาอยู่ในชีวิตมนุษย์ เขาเกิดความอาย เกิดความวิตกกังวล เกิดความกลัวพระเจ้า และซ่อนตัวเองจากพระเจ้า นาทีแรกที่มนุษย์แยกจากพระเจ้า มนุษย์เกิดความเครียดและไม่มีความสุข จากนั้นเป็นต้นมาเราไม่เคยกลับไปมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริงเลย
ความเครียด ได้อยู่กับเราอย่างสัตย์ซื่อมาตั้งแต่วันที่ อีฟอยากรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เป็นการทำผิดครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของมนุษย์ และเป็นมรดกที่ถ่ายทอดทำให้มนุษย์ต้องจมอยู่ในห้วงลึกของวงจรความเครียด
ทุกวันนี้ เรายังคงต้องการจะรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วมิใช่หรือ?
เป็นที่รู้กันว่าความเครียดเกิดจากความวิตกกังวล ถ้ามีความวิตกกังวลมาก ระดับความเครียดจะสูงมากขึ้น ความวิตกกังวลจึงเป็นตัวบ่งชี้ความเครียด
แล้วเราจะทำให้ความวิตกกังวลในชีวิตของเราเหลือน้อยลงได้อย่างไร?
พระเยซูคริสต์ได้ชี้ทางสว่างให้แล้วในพระธรรมลูกา 12:25-26 “มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวายสามารถต่ออายุของตนให้ยืนนานอีกนิดหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งเล็กน้อยยังทำไม่ได้ ท่านยังจะกระวนกระวายถึงสิ่งอื่นทำไมอีกเล่า?
พระเยซูคริสต์ตรัสกับสาวกของพระองค์อย่างง่ายๆว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตเรื่องกินเรื่องนุ่งห่ม เพราะชีวิตสำคัญกว่าอาหาร ร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่ม ทรงชี้ให้ดูอีกา เป็นตัวอย่างของความไม่ต้องวิตกกังวล เพราะอีกาไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยวเก็บ มันไม่มีแม้กระทั่ง ยุ้งฉางโรงเก็บอาหาร แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูมัน ดังนั้นเมื่อเรามีค่ามากมายกว่านก แล้วทำไมเราต้องวิตกกังวล?
พระองค์ทรงสอนบทสรุปให้เรา แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงจัดสรรสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตให้เรา
Henry Ford กล่าวว่า “With God in charge, I believe everything will work out for the best in the end. So what is there to worry about?
เมื่อพระเจ้าดูแลแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่าในที่สุดทุกสิ่งจะเกิดผลดีเลิศ แล้วจะมีเรื่องอะไรให้กังวลอีก?
นั่นซิครับ มีเรื่องอะไรให้กังวลอีก? J   อาเมน


Stress
Then Jesus said to the disciples, "And so I tell you not to worry about the food you need to stay alive or about the clothes you need for your body.  Life is much more important than food, and the body much more important than clothes.”                                                     Luke 12:22-23

It is generally accepted that we have to live our lives with stress as it has crept into all aspects of our lives. Stress plays a major role in deteriorating our health and can be the cause of physical, emotional and spiritual diseases. It hurts family relationships, damages our working lives and worst of all, sometimes, it leads people to end their lives unreasonably.
We live in a world with continuous worries. We have to face the day to day unpredictable changes that, whether you like them or not, pressure us into stress. We almost have no other choice but to live with stress as we can only control minimal parts of our lives.
In fact, stress has been a part of life since the days of Adam and Eve, the first human pair, had disobeyed God by eating the forbidden fruit in the garden (Genesis 3:1-13).  As soon as they had eaten the fruit, they were given an understanding and realized that they were naked and became shy; so they sewed fig leaves together and covered themselves. This was the first moment that human had stress in their lives. They became shy, worried, and afraid of God then hid themselves from God. This was the first moment that human made a departure from God, and experienced stress and unhappiness. Since then we never again have real peace in our lives.
Stress has been faithfully living with us from the day that Eve wanted to know what was good and what was bad. The first big mistake that human made was inherited to us and made our lives sink deep into a circle of stressfulness.

Today, we still want to know what is good and what is bad, don’t we?

It is said that we have stress because we have worries. The more worries we have, the higher stress levels we have. Worry is therefore the indicator of our stress.

How can we reduce worries in life?

Jesus Christ has guided us in Luke 12:25-26 “Can any of you live a bit longer by worrying about it? If you can't manage even such a small thing, why worry about the other things?”
Jesus Christ simply told His disciples not to worry about the food they needed to stay alive or about the clothes they needed for their bodies.  He emphasized that life was much more important than food, and body was much more important than clothes.  He pointed out to His disciples to look at the crows as an example of not worrying. Because the crows don't plant seeds or gather a harvest; they don't even have storage rooms or barns to keep food but God feeds them. Therefore, since we are worth so much more than birds; why do we have to worry?
In His conclusion, Jesus Christ told us instead; to be concerned with His Kingdom and He will provides us with things needed for living.
Henry Ford said “With God in charge, I believe everything will work out for the best in the end. So what is there to worry about?”
Well, what is there to worry about? J Amen.

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

คริสตจักรไทย กับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน


 “และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทรงอยู่บนท่าน คือพระวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ พระวิญญาณแห่งคำปรึกษาและอานุภาพ พระวิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระยาห์เวห์”  อสย. 11:2

เราได้ยินได้ฟังเรื่องการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) กันบ่อยขึ้นในเวลานี้ เพราะตามกำหนดปี 2015(พ.ศ. 2558) หรืออีกเพียง 3 ปีข้างหน้า สมาชิกอาเซียน 10ประเทศคือ ไทย มาเลเซีย สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์  บรูไน เวียตนาม พม่า ลาว และ กัมพูชา ก็จะรวมกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่ง มีความหมายว่า ทั้ง 10 ประเทศ จะรวมกันเป็น ตลาดเดียวและฐานการผลิตเดียว (Single Market and Production Base) ซึ่งจะเกิดผลทำให้มี การเคลื่อนย้ายของสินค้า บริการ การลงทุน และ แรงงานอย่างเสรี (Free Flow of Trade, Services, Investment and Labor) โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ
1. เพื่อเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วม (Single Market and Production Base)
2. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของภูมิภาค (High Competitive Economic Region)
3. เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาค (Equitable Economic Development)
4. เพื่อบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เข้ากับเศรษฐกิจโลก (Fully Integrated into Global Economy)
และคาดการว่า การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะทำให้เกิดผลดังนี้
Cต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการผลิตจะลดลง เพราะมีการเคลื่อนย้ายเงินได้อย่างเสรี
Cประสิทธิภาพของการผลิตจะดีขึ้น เพราะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรี
Cการลงทุนจะมีมากขึ้น เพราะเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในแต่ละประเทศอย่างเสรี
Cการค้าจะดีขึ้น เพราะสามารถค้าขายในตลาดที่ใหญ่ขึ้นได้อย่างเสรี
Cการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะมากขึ้น เพราะฐานการผลิต และ ตลาดที่ใหญ่ขึ้นทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค GDP ของประเทศจะเติบโต 8-10% ต่อปี
Cขีดความสามารถในการแข่งขันจะดีขึ้น เพราะมีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีของปัจจัยการผลิต
Cอำนาจการต่อรองจะมากขึ้น เพราะตลาดใหญ่ขึ้น ฐานการผลิตใหญ่ขึ้น
คำถามที่เราจะต้องคิดและเตรียมการในวันนี้ คือ การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้างต่อการทำพันธกิจของคริสตจักรไทย?
  • คริสตจักรจะช่วยสมาชิกให้มีความสามารถในการแข่งขันอย่างไร?
  • การเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรีจะทำให้คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถของคริสตจักรอพยพไปทำงานในเมืองใหญ่หรือในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นหรือไม่? และจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของคริสตจักรหรือไม่?
  • ความเป็นอยู่ของสมาชิกคริสตจักรจะดีขึ้นหรือเลวลงเมื่อเป็นประชาคมอาเซียน?
  • ความเท่าเทียมในการพัฒนาเศรษฐกิจจะเป็นจริงหรือไม่? สมาชิกคริสตจักรจะได้รับความเท่าเทียมในการพัฒนาเศรษฐกิจจริงหรือไม่? ช่องว่างระหว่างผู้ได้เปรียบและผู้เสียเปรียบทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร?
  • การไหลของคนอย่างเสรีจะมีผลทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมนานาชาติมากขึ้น ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของคนในชุมชน จะมีผลต่อการประกาศพระกิตติคุณของคริสตจักรอย่างไร?
เราสามารถตั้งคำถามต่อไปได้อีกมากมาย เพราะการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ในด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมอย่างแน่นอน
เราจะทำอย่างไรให้เกิดผลกระทบต่อสังคมไทยให้น้อยที่สุด
สิ่งที่สำคัญคือ คริสตจักรไทยได้เตรียมการรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไร?
ถ้าไม่คิดเตรียมการในวันนี้ แล้วจะไปคิดทำอะไรได้ในเวลาที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว
อย่าเป็นเหมือนคำกล่าวของคนเมืองเชียงใหม่ที่ว่า
“กว่าจะฮู้คิง น้ำปิงปอแห้ง” นะครับ (กว่าจะรู้ตัว น้ำในแม่น้ำปิงก็แห้งไปเสียแล้ว)
ขอพระวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ พระวิญญาณแห่งคำปรึกษาและอานุภาพ พระวิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระยาห์เวห์ ได้สถิตอยู่กับเราในการคิดและเตรียมการต้อนรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วยเถิด J อาเมน


Thai Churches and the ASEAN Economic Community

“The LORD’s spirit will rest on him1
a spirit that gives extraordinary wisdom,
2      

a spirit that provides the ability to execute plans,3      
a spirit that produces absolute loyalty to the LORD.4 “ Isaah 11:2

As D-day of the ASEAN Economic Community (AEC) in 2015 is coming near, just only 3 years from now, we have heard more and more conversations regarding this issue. The collective agreement of the AEC is to make 10 member countries namely; Thailand, Malaysia, Singapore, Brunei, Vietnam, Myanmar, Laos and Cambodia become a single market and production base, which will in turn increase the free flow of trade, services, investment and labor activities in the region.
The ultimate aims of the AEC are:
To make ASEAN become a single market and production base.
• To make the region become a high competitive economic region.
• To create equitable, economic development in the region.
• To make the region become fully integrated into the global economy.
It is expected that the AEC would create:
  • The financial cost of production will decrease, due to the free flow of money.
  • The proficiency of production will increase, due to the free flow of skilled workers.
  • Investments will increase, as the region has increased open opportunities for investors to invest freely in each member country.
  • Trading activities will increase due to free trade in a larger market.
  • Financial direct investment from other countries will increase, due to a larger production base and increasing market size, which is expected to expand economic growth within the region. This will generate growth of GDP in each country, by roughly 8-10 % yearly.
  • Competitive abilities in the region will improve, as there will be more free flow of production resources.
  • The power of negotiation will strengthen, due to the enormous market size and the larger production base.

Challenging questions that we have to think about and prepare ourselves for today are: "What will be the critical impacts for Thai churches, in doing ministries in Thailand, after we become a part of the AEC?" 
  • How will churches assist their members to increase competitive abilities?
  • Will the free flow of workers encourage young capable people to migrate and work in big cities or in neighboring countries? And, in this case, what are the impacts to growth of the churches? 
  • Will the living conditions of church members change? Will it be better or worse after we become a part of the AEC?
  • Will it be true to have equitable economic development? Will it be true that our church members receive an equal share of economic development? How about the economic gap between advantaged and disadvantaged economic groups?
  • The free flow of human resources will turn Thai society to become more internationalized. Languages, culture and the life style of people in the community will be unavoidably changed. What do you foresee will change? What will the impact be on your church and evangelical work?
Actually, we can continue asking more and more questions because the AEC will have both direct and indirect impacts on the economy, politics and society of Thailand. What can we do to minimize the impact?
The most important thing is how Thai churches prepare themselves to cope with what is going to happen.
Without preparation, what are you going to do when things happen?
Don’t act like the saying of old Chiang Mai people
 “Before we realize, water in the Ping River has already dried.” This saying actually means, do not wait until it's too late.
May a spirit that gives extraordinary wisdom,2      
a spirit that provides the ability to execute plans,3      
a spirit that produces absolute loyalty to the LORD
be with us in our thinking and our preparation to welcome the coming of the AEC.  Amen  

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ

“อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม                                                                                    โรม 12:2

พระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราจริงหรือเปล่า?

 เมื่อเราได้รับเชื่อเอาพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ชีวิตของเราต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะชีวิตก่อนการได้พบพระเยซูคริสต์กับชีวิตเมื่อมีพระเยซูคริสต์แล้วย่อมไม่เหมือนเดิม
หลายท่านเข้าใจว่า หลังจากการได้รับบัพติสมา ชีวิตท่านได้เกิดใหม่อีกครั้งแล้ว ชีวิตของท่านเกิดเปลี่ยนแปลง ทำให้ชีวิตของท่านดีขึ้น ธุรกิจของท่านดีขึ้น ครอบครัวของท่านมีความสุขมากขึ้น ท่านมีฐานะทางสังคมที่ดีขึ้น ท่านประสบความสำเร็จในชีวิตอีกมากมาย เพราะพระเจ้าอวยพระพรให้ท่านมากกว่าที่ท่านคิด ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านรู้สึกว่าชีวิตของท่านเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการรับเชื่อ และทำให้ท่านมีความสุขมากขึ้น

แต่อยากเชิญชวนให้ท่านคิดพิจารณาอีกครั้งว่า

Uพระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านอย่างไร? (How has Jesus Christ changed your life?)
            เมื่อท่านได้รับเอาพระเยซูคริสต์เข้าไปในชีวิตของท่านแล้ว ชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจริงๆหรือไม่? หรือชีวิตส่วนใหญ่ของท่านยังคงดำเนินไปอย่างปกติ มีสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในชีวิตคือท่านคือท่านไปนมัสการพระเจ้า ท่านมีเพื่อนพี่น้องในพระคริสต์มากขึ้น ท่านได้ร่วมกิจกรรมของคริสตจักร พระเยซูคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านเพียงแค่นี้หรือ?

Uท่านมองโลกด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมหรือเปล่า? (Do you see the world through different eyes?)
            ถ้าท่านยังมองโลกด้วยสายตาคู่เดิมอยู่ แสดงว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านจริง เพราะถ้าพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวของท่านจริงๆแล้ว ท่านจะต้องมองโลกด้วยสายตาคู่ใหม่ เป็นสายตาคู่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (Seeing the world as Jesus Christ saw it.) ทำให้ท่านเห็นภาพสังคมเป็นภาพเดียวกันกับที่พระเยซูคริสต์เห็น ทัศนคติในการมองโลกของท่านต้องเปลี่ยนไปเป็นทัศนคติเดียวกันกับทัศนคติของพระเยซูคริสต์ ฟิลิปปี. 2:5 “ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ และ ความนึกคิดของท่านต้องเปลี่ยนไปเป็นความนึกคิดเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

Uหัวใจของท่านเปลี่ยนแปลงหรือไม่? (Has your heart changed?)
ถ้าท่านมีพระเยซูคริสต์แล้วหัวใจของท่านที่เคยแข็งกระด้างจะถูกทำให้นุ่มนวลลงด้วยความรักของพระเยซูคริสต์ (Softened by the love of Jesus Christ) ทำให้ท่านทนไม่ได้ที่ปล่อยให้คนในสังคมได้รับบาดเจ็บโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา เพราะสายตาของท่านที่มองโลกได้เปลี่ยนเป็นสายตาแบบที่พระเยซูคริสต์มองโลก เป็นสายตาแห่งความรักและห่วงใย (Eyes of compassion) ทัศนคติในการมองโลกของท่านถูกเปลี่ยนไปเป็นทัศนคติแบบพระเยซูคริสต์ และหัวใจของท่านถูกเปลี่ยนให้อ่อนโยนแบบหัวใจของพระเยซูคริสต์

การถูกเปลี่ยนแปลงของท่านจึงทำให้ท่านทนอยู่เฉยอีกต่อไปไม่ได้ เกิดความรู้สึกร้อนรนต้องออกไปช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยากลำบากในสังคม เพราะพระเยซูคริสต์ต้องการทำให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงรักและเมตตามีความสุข ดังนั้นท่านจึงควรมีความต้องการแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์ คือการทำให้คนอื่นมีความสุขไม่ใช่ทำให้ตัวเองมีความสุข และเป็นเหตุที่ทำให้เราต้องทำพันธกิจรับใช้พระเจ้า

Hazrat Inayat Khan กล่าวว่า “Happy is he who does good to others; miserable is he who expects good from others”
ความสุขคือ ผู้นั้นที่ได้ทำการดีให้ผู้อื่น ความหายนะคือผู้นั้นที่คาดหวังการดีที่ผู้อื่นจะกระทำให้

ท่านได้ถูกเปลี่ยนแปลงเพราะการได้รู้จักพระเยซูคริสต์หรือเปล่า? J อาเมน!


Change Your Mind

“Do not conform yourselves to the standards of this world, but let God transform you inwardly by a complete change of your mind. Then you will be able to know the will of God---what is good and is pleasing to him and is perfect.”  Roman 12:2 [GNB]

Has Jesus Christ really changed your life?

        After we have received Jesus Christ as our savior, our lives must change - because the ones before knowing Jesus Christ, and the ones after having Him, must not be the same.
Many people assume that after having been baptized, they were reborn and their lives had definitely changed in a positive way. Their businesses are better than before. They have more happiness in their families. They have a higher social status and much more success in their lives because God has blessed them more than their expectations. Thank the Lord that you have realized that your lives have been changed after you have received Jesus Christ and you are happier now.

But I would like to encourage you to reconsider these:

How has Jesus Christ changed your life?
        Has your life truly changed after receiving Jesus Christ? Do you still lead the same normal life? Or do you just add these things into your life:  going to church, having more Christian friends and participating in church activities. Are these the ways Jesus Christ has changed your life?

Do you see the world through different eyes?
        If you remain seeing the world with your old eyes, Jesus Christ has not really changed your life yet. If Jesus Christ has truly come into your life, then you have to see the world with a new pair of eyes - the same eyes as Jesus Christ. And, you will see the same world as Jesus Christ did. Your attitude towards the world will be changed and became like the ones of Jesus Christ. Philippians 2:5 [GNB]The attitude you should have is the one that Christ Jesus had.” Your thoughts will be converted to become identical with the ones of Jesus Christ.

Has your heart changed?
When you have Jesus Christ in your heart, your once hardened heart will be softened by the love of Jesus Christ. Since your heart became a softened one, you can no longer let people in our society being hurt without assistance and healing. Now you see the world with the same eyes as Jesus Christ, eyes of compassion, eyes of love and eyes of concern. Your attitude in seeing the world has also changed to be the same attitude as of Jesus Christ, and your heart has also changed to a soften heart as the one of Jesus Christ.

The change in your life is so remarkable that you cannot resist standing still anymore. You have an enthusiastic feeling that you have to go out and help those who are suffering and have difficulties in our society. Because Jesus Christ wants to see happiness and content in the lives of all the people whom He loves and cares for so much. Therefore, you must have the same need as Jesus Christ: in making others happy, not yourself. This is the reason why we have to do our mission in serving the Lord.

Hazat Inayat Khan said “Happy is he who does good to others; miserable is he who expects good from others”

ARE YOU CHANGED AS A RESULT OF KNOWING JESUS CHRIST? Amen!