วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บ้านผู้สูงอายุ



“For they are life unto those that find them, and health to all their flesh. Keep thy heart with all diligence; for out of it are the issues of life.”

 Proverbs 4:22-23

เวลาทำหน้าที่ของมันอย่างเที่ยงตรงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้  เรากำลังก้าวผ่านเวลาไปอีกหนึ่งปี สู่ปีใหม่ 2016 ที่มองดูแล้วโลกจะยังคงเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่แน่นอนคือจะมีจำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นอีกมากทั่วโลก
สังคมโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้กำหนดว่า ประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกิน 10% หรือมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกิน 7% ของประชากรทั้งประเทศ ถือว่าประเทศนั้นได้ก้าวเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุ (Aging Society) แล้ว ถ้ามีสัดส่วนประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 20% และอายุ 65 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 14% ประเทศนั้นจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society)  
การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของประชากรโลกในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจกันเป็นอย่างมากทั้งในระดับชาติและในระดับโลก เพราะมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รายได้ต่อหัวของประชากร การออม และการลงทุน งบประมาณค่าใช้จ่ายของรัฐบาล การจ้างงาน ผลผลิตจากแรงงาน ตลาดผลิตภัณฑ์สินค้า การบริการต่างๆ และเรื่องสวัสดิการของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวัสดิการให้บริการด้านการแพทย์
ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) ไปแล้วตั้งแต่ปี 2548 เพราะประเทศไทย มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป 10.4% และมีแนวโน้มว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า สังคมไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) คือจะมีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% หรือมีประชากรที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไปเกินกว่า 14% และคาดการณ์ว่าในปี 2571 ประเทศไทยจะมีผู้อายุเกิน 60 ปี จำนวนถึง 23.5%
 ถ้าแนวโน้มและการคาดการณ์เป็นจริง ประเทศไทยจะก้าวจากสังคมผู้สูงอายุ เป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยใช้เวลาเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น ซึ่งต่างจากกลุ่มประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ไปแล้วซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในยุโรป และอเมริกา ที่ใช้เวลาค่อนข้างมากในการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ทําให้ประเทศเหล่านี้มีเวลาในการวางแผย เตรียมตัว ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างเพียงพอ ในขณะที่กลุ่มประเทศกําลังพัฒนากลับใช้เวลาสั้นกว่ามากในการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ เช่น ชิลี ใช้เวลา 27 ปี จีน 26 ปี ไทย 22 ปี และสิงคโปร์ 19 ปี เป็นต้น
"สังคมผู้สูงอายุ" ในความหมายขององค์การสหประชาชาติ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับการก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ (Ageing society) ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) และระดับสังคมผู้สูงอายุอัครสมบูรณ์ (Super - aged society)
สังคมไทยกําลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรครั้งสําคัญ คือ  การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสัดส่วนจํานวนประชากรในวัยทํางานและวัยเด็กลดลง เนื่องจากอัตรา การเกิดและอัตราการตายลดลงอย่างต่อเนื่อง ทําให้ประชากรไทยโดยเฉลี่ยมีอายุยืนยาวขึ้น สํานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าประชากรของไทยจะเพิ่มขึ้น จาก 66.48 ล้านคนในปี 2551 เป็น 70.65 ล้านคนในปี 2568 และจะค่อยๆ ลดลง (Depopulation) เป็น 70.63 ล้านคนในปี 2573 จํานวนประชากรวัยเด็ก (อายุ 0 - 14 ปี) จะลดลงอย่างสมํ่าเสมอ จาก 15.95 ล้านคนในปี 2533 เหลือเพียง 9.54 ล้านคนในปี 2573       
การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของประชากรดังกล่าวส่งผลให้อัตราส่วนภาระพึ่งพิงหรือภาระที่ประชากรวัยทํางานจะต้องเลี้ยงดูประชากรวัยเด็กและวัยสูงอายุมีจํานวนเพิ่มข้ึน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูผู้สูงอายุซึ่งสูงขึ้นตามอายุเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้นตามอายุ คาดการณ์ว่าในปี 2573 อัตราส่วนภาระพึ่งพิงของ ประชากรวัยสูงอายุจะเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 40.93 ซึ่งจะกลายภาระที่ใหญ่โตมากสำหรับประเทศไทย
ถ้าสังคมไทยยังไม่ได้คิดวางแผนเตรียมการรับการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์อย่างจริงจัง ภาระการเลี้ยงดูผู้สูงอายุในอนาคตจะเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยอย่างแน่นอน
สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นแนวความคิดของกลุ่มนักธุรกิจที่กำลังจะทำโครงการที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุในประเทศมาเลเซีย ที่มองเห็นปัญหาและสภาพสังคมผู้สูงอายุในอนาคต โดยออกแบบการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุในเมืองอย่างมีระบบ และอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุทั้งในแง่วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อม ที่น่าสนใจยิ่ง
แนวคิด ที่ให้ความรู้สึกยังหนุ่ม (Feeling young) แก่ผู้สูงอายุ คือการจัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้สูงอายุได้อยู่กับธรรมชาติ ได้มีกิจกรรมกับต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า คือมีสวนที่เขาสามารถสัมผัสได้อยู่แค่เอื้อม ทำให้เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวา เหมือนมีบ้านอยู่ในสวน จึงเรียกโครงการที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุนี้ว่า บ้านฟาร์ (HomeFarm)
โครงการนำร่อง HomeFarm นี้ คาดว่าจะลงมือก่อสร้างในปี 2018 ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) มาเลเซีย จะมีที่ให้ผู้สูงอายุอาศัยอยู่ 800 ห้อง โครงการนี้ออกแบบโดย  SPARK Architects ซึ่งเป็นบริษัทที่มีสำนักงานอยู่ทั้งในจีน สิงคโปร์ และอังกฤษ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายจะขยายโครงการแบบนี้ไปตามเมืองใหญ่ๆในภูมิภาคนี้ต่อไป
          สังคมไทยที่เคยมีลูกๆคอยอยู่ดูแลพ่อแม่วัยชรากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นผู้สูงอายุต้องปรับตัวอยู่ดูแลตัวเองให้มีความสุขตามอัตภาพในอนาคตอันใกล้นี้
Mark Twain กล่าวว่า Age is an issue of mind over matter. If you don't mind, it doesn't matter.” อายุเป็นเรื่องของจิตใจมากกว่าสิ่งอื่นใด ถ้าคุณไม่สนใจเรื่องอายุ มันก็ไม่มีความหมายอะไร
Henry Ford กล่าวว่า Anyone who stops learning is old, whether at twenty or eighty. Anyone who keeps learning stays young. The greatest thing in life is to keep your mind young.” .ใครก็ตามที่หยุดเรียนรู้คนนั้นก็แก่ ไม่ว่าจะอายุ ยี่สิบ หรือ อายุแปดสิบ ใครก็ตามที่เรียนรู้ตลอดเวลาก็ยังหนุ่ม สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการรักษาให้จิตใจหนุ่มอยู่เสมอ
ขอขอบคุณที่ท่านได้เข้ามาอ่านและแบ่งปันเรื่องที่ผมได้เขียนตลอดปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้สูงอายุอย่างผมมีความพยายามเรียนรู้เรื่องใหม่ๆตลอดเวลาเพื่อนำข้อมูลมาเขียนแบ่งปันกันอ่าน หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ไม่เป็นที่ถูกใจของท่านผมขอท่านได้ให้อภัยด้วยครับ

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อวยพระพรท่านให้มีความสุขในเทศกาลคริสตสมภพ และตลอดปีใหม่ 2016

Merry Christmas and Happy New Year.

 
 
 
 
 
 
 

 
 


แหล่งที่มา: Sara Malm for MailOnline

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น