วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผู้นำแท้

“There are seven things that the LORD hates and cannot tolerate: A proud look, a lying tongue, hands that kill innocent people, a mind that thinks up wicked plans, feet that hurry off to do evil, a witness who tells one lie after another, and someone who stirs up trouble among friends.”      Proverbs 6:16

ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับการโต้วาทะ (Debate) ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในการโต้วาทะผ่านการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ให้คนอเมริกันและทั่วโลกได้ชมกันสดๆ ระหว่าง ประธานาธิบดี Barack Obama กับผู้สมัครแข่งขันเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนต่อไป Mitt Romney ผู้ว่าการรัฐคนที่ 70 ของรัฐ Massachusetts

ในการโต้วาทะครั้งแรกที่เมือง Denver ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา Mitt Romney ทำได้ดีเกินคาด และมีผลทำให้คะแนนนิยมของเขาที่ตามหลังประธานาธิบดี Barak Obama อยู่ค่อนข้างมาก นับตั้งแต่ประกาศตัวเป็นผู้แทนของพรรครีพับลิกัน เข้าต่อกรกับพรรคเดโมเครต กระเตื้องขึ้นจนคะแนนจากการสำรวจความคิดเห็นหลายสำนักบ่งชี้ว่ามีคะแนนวิ่งตามเข้ามาใกล้มากขึ้น
ในการโต้วาทะครั้งที่ 2 ที่ Hofstra University, Long Island ประธานาธิบดี Barak Obama กลับเข้าสู่ฟอร์มเดิมที่ถนัดในการใช้วาทะศิลป์แสดงความเข้มมากขึ้นทำได้ดีกว่า Mitt Romney เล็กน้อย ทำให้คะแนนนิยมจากการสำรวจ Poll ของหลายสำนักให้ประธานาธิบดี Barak Obama นำหน้าผู้ท้าชิงเล็กน้อย
ในการโต้วาทะครั้งที่ 3 ที่เมือง Boca Raton, Florida เพิ่งเสร็จสิ้นไปหมาดๆ ประธานาธิบดี Barak Obama ทำได้ค่อนข้างดีในเรื่องนโยบายการต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับปัญหาตะวันออกกลางซึ่งประธานาธิบดี Barak Obama รอบรู้ดีเนื่องจากมีประสบการณ์ในการจัดการปัญหาเรื่องนี้มาเกือบ 4 ปี ในขณะที่ Mitt Romney ยังไม่มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องนี้ จึงพูดได้ไม่ค่อยเต็มคำเท่าไหร่นัก อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการโต้วาทะหลายท่านให้ประธานาธิบดีเหนือกว่าผู้ท้าชิงหลายคะแนน แต่ก็มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญบางท่านชี้ให้เห็นว่า Mitt Romney แสดงลักษณะความเป็นผู้นำเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลทำให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นก็ได้
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2012 ซึ่งเป็นวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สื่อหลายสำนักระบุตรงกันว่าคะแนนเสียงคงจะสูสีกันมาก ดังนั้นเวลาที่เหลือก่อนวันเลือกตั้ง ทั้งสองพรรคต่างต้องวิ่งหาเสียงกันหนักเพื่อเรียกคะแนนจากกลุ่มผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครดี
John C Maxwell เขียนในหนังสือของเขาว่า ปัจจัยที่ทำให้ผู้นำเป็นผู้นำแท้ ที่สามารถนำคนอื่นได้อย่างแท้จริง คือการที่ผู้นำมีคุณสมบัติในการโน้มน้าว (Influence) ให้ผู้อื่นเชื่อและทำตามตน และผู้นำแท้ต้องมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้
อัตลักษณะ (Character) หรือบุคลิกลักษณะที่ชัดเจนซึ่งแสดงลักษณะตัวตนที่แท้จริงของผู้นำว่าเขาเป็นใคร (Who they are) ความเป็นผู้นำแท้เริ่มจากตัวตนภายในของผู้นำเสมอ (True leadership always begins with the inner person) เป็นคุณลักษณะที่เป็นตัวตนที่แท้จริงที่ผู้นำแท้แสดงออกมาทั้งทางคำพูดและการกระทำ จนสามารถสร้างความประทับใจ ให้คนยอมรับความเป็นผู้นำของเขามากขึ้นเรื่อยๆและยอมติดตามเขา
Abraham Lincoln กล่าวว่า “Character is like a tree and reputation like a shadow. The shadow is what we think of it; the tree is the real thing.” อัตลักษณะ เป็นเหมือนต้นไม้ และชื่อเสียงเป็นเหมือนเงา เงาคือสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น ต้นไม้คือของจริง ความเป็นผู้นำแท้ต้องออกมาจากตัวตนข้างในที่แท้จริง เป็น อัตลักษณะจริงของผู้นำแท้ ที่ผู้ติดตามสามารถสัมผัสได้ และมีความประทับใจในลักษณะพิเศษของผู้นำ
ความสัมพันธ์ (Relationships) เป็นสายใยเชื่อมระหว่างผู้นำกับผู้ติดตามว่าผู้นำรู้จักผู้ที่ติดตามเขา (Who they know) มากน้อยเพียงใด ยิ่งมีความสัมพันธ์ที่ลึกมากเท่าใด ศักยภาพของการเป็นผู้นำจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น (the deeper the relationships, the stronger the potential for leadership) เมื่อใดที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ติดตามห่างหายไป ผู้ติดตามก็หายตามไปด้วย และเมื่อใดที่ไม่มีผู้ติดตาม เมื่อนั้น ความเป็นผู้นำก็หายไปด้วย ที่ใดไม่มีผู้ตามที่นั่นก็ไม่มีผู้นำ
Eric Braeden กล่าวว่า “A relationship has to be cultivated. There have to be feelings of love for another first.” ความสัมพันธ์จะต้องถูกบ่มเพาะ โดยจะต้องมีความรู้สึกรักให้แก่ผู้อื่นก่อน ผู้นำแท้คือผู้ที่รักผู้อื่นก่อน ผู้นำที่รอให้คนอื่นมารักตนก่อนแล้วตนถึงจะรักตอบจึงไม่ใช่ผู้นำแท้
Arnold Schwarzenegger กล่าวว่า “My relationship to power and authority is that I'm all for it.” ความสัมพันธ์ของข้าพเจ้ากับอำนาจและหน้าที่รับผิดชอบคือ ข้าพเจ้าทุ่มเทให้มันทั้งหมด ผู้นำแท้ต้องมีความรักให้แก่ผู้ติดตามก่อนเสมอ ความรักที่ผู้นำแท้มีให้แก่ผู้ติดตาม ทำให้เขาใช้อำนาจและความรับผิดชอบทั้งหมดทำงานทุ่มเทให้กับงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ติดตามที่เขารัก
ความรู้ (Knowledge) แสดงสิ่งที่ผู้นำแท้รู้ (What they know) ให้ผู้ติดตามได้ประจักษ์ เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้นำแท้ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา เพื่อสามารถวางแผน แก้ปัญหา และชี้ทิศทางในการเดินและขับเคลื่อนให้ผู้ติดตามเดินตามทิศทางนั้น แม้ว่าความรู้เพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถทำให้ใครเป็นผู้นำได้ แต่ถ้าขาดความรู้ ก็ไม่มีใครสามารถเป็นผู้นำได้เช่นกัน (Knowledge alone won’t make someone a leader, but without knowledge, no one can become one.) ปัจจุบันเป็นยุคที่ความรู้เป็นฐานเศรษฐกิจ ผู้นำแท้ในยุคสมัยนี้จำเป็นต้องมีความรู้แท้ถึงจะสามารถเป็นผู้นำคนอื่นได้
Kofi Annan อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า “Knowledge is power. Information is liberating.” ความรู้คืออำนาจ ข่าวสารคืออิสรภาพ ผู้นำที่ไม่มีความรู้คือผู้นำที่ไม่มีอำนาจ และทำให้เขาดำรงความเป็นผู้นำได้ไม่นาน
ความสามารถหยั่งรู้ (Intuition) เป็นความรู้สึกของผู้นำแท้ (What they feel) ที่ไว ต่ออารมณ์ ความรู้สึกที่มีต่อ คน สถานการณ์สิ่งแวดล้อมและเวลา ทำให้สามารถปรับตัวพลิกสถานการณ์ที่เป็นโทษให้เป็นคุณต่อความเป็นผู้นำของเขาได้โดยเร็ว ความสามารถหยั่งรู้ทำให้ผู้นำแท้สามารถนำผู้ตามให้รอดพ้นจากสถานการณ์วิกฤติได้รวดเร็ว และสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มีความสามารถหยั่งรู้
Albert Einstein กล่าวว่า “The only real valuable thing is intuition.” สิ่งที่มีค่าจริงสิ่งเดียวคือความสามารถหยั่งรู้ ผู้นำที่ขาดความสามารถในการหยั่งรู้สถานการณ์ ทำให้เขาไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปรไป และทำให้เกิดผลเสียหายต่อผู้ติดตามเขา
ประสบการณ์ (Experience) แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ในอดีตของผู้นำแท้ว่าได้ผ่านอะไรมาบ้าง (Where they’ve been) ประสบการณ์อาจไม่สามารถเป็นเครื่องรับประกันความสามารถของผู้นำได้เสมอไป แต่ประสบการณ์ช่วยทำให้ผู้ติดตามเกิดความมั่นใจและมอบโอกาสให้ผู้นำพิสูจน์ความสามารถในการเป็นผู้นำแท้ของเขา
Julius Caesar กล่าวว่า “Experience is the teacher of all things.” ประสบการณ์เป็นครูของทุกสิ่ง ผู้นำที่มีประสบการณ์หลากหลายได้เรียนรู้หลายบทเรียนที่ผิดพลาดและหลายบทเรียนที่สำเร็จจากอดีต ย่อมช่วยให้เขาสามารถแก้ไขปัญหาได้หลากหลายมิติและมีความหยั่งรู้ที่จะนำพาผู้ติดตามให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องและประสบความสำเร็จได้ ประสบการณ์จึงเป็นครูของผู้นำแท้
ความสำเร็จในอดีต (Past Success) บ่งชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้นำแท้ได้กระทำสำเร็จในอดีต (What they’ve done) ความสำเร็จในอดีตเป็นประวัติที่เสริมให้ผู้ติดตามเกิดความเชื่อมั่น และยอมรับในความเป็นผู้นำได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้นำแท้สามารถมีผู้ติดตามที่พร้อมที่จะฟังและทำตาม ให้ความร่วมมือเพิ่มขึ้น ความสำเร็จในอดีตจึงเป็นฐานที่แข็งแกร่งในการสร้างความสำเร็จใหม่ของผู้นำแท้
Diane Ackerman กล่าวว่า “Success produces success, just as money produces money.” ความสำเร็จก่อให้เกิดความสำเร็จ เหมือนเช่น เงินก่อให้เกิดเงิน เงินต่อเงินได้ฉันใด ความสำเร็จก็ต่อความสำเร็จได้ฉันนั้น
Euripides กล่าวว่า “Along with success comes a reputation for wisdom.” เมื่อประสบความสำเร็จความมีชื่อเสียงแห่งปัญญาจะตามมา ความสำเร็จในอดีตช่วยสร้างความมีชื่อเสียง สร้างความรู้และปัญญาที่ทำให้เกิดความสำเร็จในปัจจุบันได้ง่ายขึ้น
ความสามารถ (Ability) เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่แสดงให้เห็นว่าผู้นำแท้สามารถทำอะไร (What they can do) ได้มากน้อยเพียงใด จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การเป็นผู้นำประสบความสำเร็จหรือไม่ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเป็นผู้ติดตามผู้นำที่พาพวกเขาไปสู่ความพ่ายแพ้ หรือความล้มเหลว ทุกคนต้องการอยู่กับผู้นำที่พาเขาไปสู่ชัยชนะและความสำเร็จ ผู้นำที่ขาดความสามารถจริงจึงนำได้ไม่นาน แม้ว่าการไปสู่ความสำเร็จจะต้องต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคมากมาย แต่ ผู้นำแท้จะแสดงความสามารถแท้ออกมาให้ประจักษ์ในที่สุด
George Will กล่าวว่า “Leadership is, among other things, the ability to inflict pain and get away with it; short-term pain for long-term gain.” ท่ามกลางสิ่งอื่นๆ ความเป็นผู้นำ คือ ความสามารถในการรับความเจ็บปวดและเอาชนะมันได้ เป็นความเจ็บปวดในระยะสั้นเพื่อรับประโยชน์ในระยะยาว ผู้นำแท้ย่อมมีความสามารถในการรับมือกับปัญหาอุปสรรคทุกระดับ ยอมอดทนกับความยากลำบากและความกดดันที่ต้องเผชิญ ใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาด้วยความสุขุม ผู้นำแท้จึงไม่ทำอะไรเพียงเพื่อหวังผลสำเร็จในระยะสั้นๆ ระยะทางพิสูจน์ความสามารถของม้าฉันใด ระยะเวลาพิสูจน์ความสามารถของผู้นำแท้ฉันนั้น
มีผู้กล่าวว่า “The most splendid future will always depend upon the necessity to release the past. You cannot move forward in life unless you learn from your past mistakes and move on” อนาคตที่รุ่งโรจน์จะขึ้นอยู่กับความจำเป็นที่ต้องปล่อยให้อดีตผ่านไปเสมอ คุณไม่สามารถเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าได้ นอกเสียจากว่าคุณเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต และเดินหน้าต่อไปJ

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Mark Zuckerberg ผู้สร้าง Facebook

“To those with insight, it is all clear; to the well-informed, it is all plain.
 Choose my instruction instead of silver; choose knowledge rather than the finest gold.”                                                                 Proverbs 8:9-10

ประมาณเที่ยงวันของวันที่ 14 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ใช้ Facebook ได้ทะลุผ่านจำนวน 1,000,000,000 คน หรือประมาณเท่ากับ 1 ใน 7 ของประชากรโลก เป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้โลกที่มีผู้ใช้สื่อสังคมบน internet มากเกินพันล้านคน ว่ากันว่าในโลกนี้จะมีเพียงบริษัท Coca Cola ที่ขายน้ำอัดลมได้เกินพันล้านกระป๋อง และ ร้านMcDonald’s ที่ขาย Hamburger ได้เกินพันล้านชิ้นให้ลูกค้าแล้ว
Mark Zuckerberg ในวันนี้ที่มีอายุ 28 ปี แล้ว รวมทั้งทีมงาน Facebook ของเขา ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเหมือนกันว่าโปรแกรมที่เขาเขียนขึ้นในหอพักที่มหาวิทยาลัย Harvard ขณะที่เขายังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ใช้เพื่อความสนุกสนานตามประสาวัยรุ่นกับเพื่อนๆนักศึกษาจะกลายเป็นตำนานใหม่ของโลกที่เปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างมากมาย

Mark  Zuckerberg เกิดและเติบโตที่เมือง New York ในขณะเรียนชั้นมัธยมศึกษา เขาสนใจเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา Atari Basic โดยการเรียนรู้จากพ่อของเขาซึ่งเป็นทันตแพทย์ ต่อมาพ่อได้จ้าง นักพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสอน Mark Zuckerberg เพิ่มเติม เป็นการส่วนตัวทำให้เขาเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขามีความชอบในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากจนสามารถเขียนโปรแกรมการสื่อสารระหว่าง computer ที่บ้านของพ่อกับ computer ที่คลินิกทันตกรรมของพ่อได้
Mark Zuckerberg เป็นเด็กเรียนเก่ง เมื่อเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมได้รับคัดเลือกให้ไปเรียนที่ Phillips Exeter Academy และเขาได้รับรางวัล ในวิชาวิทยาศาสตร์และวิชาวรรณคดี ในใบสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย Harvard เขาเขียนระบุว่านอกจากภาษาอังกฤษแล้ว เขามีความสามารถอ่านและเขียนภาษา ฝรั่งเศส (French) ฮีบรู(Hebrew) ลาติน (Latin) และกรีกโบราณ (Ancient Greek)
เมื่อเข้าศึกษาที่ Harvard University เขาเลือกวิชาเอก วิทยาการคอมพิวเตอร์และจิตวิทยา (Computer Science and Psychology) ในขณะที่เรียนอยู่ในปีที่2 เขาได้เขียนโปรแกรม Facemash เพื่อใช้เป็นสื่อสังคมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย Harvardโดยเอารูปนักศึกษามาลงใน Facemash ที่เป็น Web page ที่เขาสร้างขึ้น และเชิญชวนให้นักศึกษาใน Harvard ลงคะแนน Vote รูปนักศึกษาที่เห็นว่าสวย มีเสน่ห์ ร้อนแรง เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อความสนุกสนานตามประสาคนหนุ่ม แต่ปรากฏว่าเมื่อนำ Facemash ขึ้น web ในวันศุกร์มีนักศึกษาเข้ามา Vote กันมากมาย จนเกิดความวุ่นวายขึ้นเพราะคนในมหาวิทยาลัยมีความเดือนร้อนในการเข้าใช้ internet ดังนั้นในวันจันทร์ทางมหาวิทยาลัยจึงจัดการปิด web page ของเขา เพราะมีคนร้องเรียน ถึงความเดือดร้อนทั้งในการใช้งานทาง internet และนักศึกษาสาวๆที่ถูกเอารูปไป Posted ให้เพื่อนลงคะแนนโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน จน Mark Zuckerberg ต้องออกมาขอโทษ
แม้ว่า webpage เจ้าปัญหาของเขาจะถูกมหาวิทยาลัย Harvard สั่งปิดไป แต่ก็มีนักศึกษาจำนวนมากเสนอแนะให้ทางมหาวิทยาลัย Harvard พัฒนาWebsite ที่สามารถให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยใช้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น โดยสามารถนำรูปของตนและข้อมูลส่วนตัวขึ้นไป posted ใน web เพื่อสามารถติดต่อกันได้ทาง internet เหตุการณ์นี้ ทำให้ Mark Zuckerberg เกิดความคิดว่าถ้าทางมหาวิทยาลัย Harvardไม่ทำwebsite นี้ขึ้นมา เขาจะพัฒนา website ของเขาขึ้นมาเองให้ดีกว่า website ที่ทางมหาวิทยาลัยจะคิดพัฒนาขึ้นมา และในที่สุดความอยากทำโครงการwebsiteในความคิดฝันนี้ให้สำเร็จ ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย Harvard ขณะเรียนในชั้นปีที่2 เพื่อใช้เวลาในการพัฒนา website ติดต่อกันทางสังคมของนักศึกษาที่เขามีความสนใจอยากจะทำให้สำเร็จ
จากสมุดเก็บรูปและที่อยู่ของเพื่อนๆ (Photo Address Book) สมัยเรียนโรงเรียนมัธยม ที่นักศึกษานิยมเรียกว่า Face Book ได้กลายเป็นพื้นฐานให้แก่ Mark Zuckerbergในการพัฒนา Facebook ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นสื่อทางสังคมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนๆของเขาในมหาวิทยาลัย Facebook ถูกนำไปเผยแพร่ใช้ในสังคมมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัย Harvard ก่อนจะลุกลามถูกนำไปใช้ในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียนอื่นๆทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา และระบาดหนักไปทั่วโลก
Mark Zuckerberg พร้อมกับเพื่อนบางคนย้ายไปอยู่ที่ Palo Alto, California ในปี 2007 เช่าบ้านหลังเล็กๆเป็นสำนักงาน ก่อนจะได้พบ Peter Thiel ที่สนใจลงทุนในบริษัท  
Mark Zuckerberg กลายเป็นเศรษฐีพันล้านเมื่ออายุ 23 ในปี 2010 เพราะมีคนใช้ Facebook ทั่วโลกถึง 500 ล้านคน และเขากลายเป็น 1 ใน 100 คนที่มีความร่ำรวยและทรงอิทธิพลของโลกโดยได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสาร Time magazine และเรื่องราวชีวิตและผลงานของเขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Social Network
ความสำเร็จของ Mark Zuckerberg หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะมีโชคช่วย แต่ความเฮงอย่างเดียวคงไม่สามารถพัฒนาได้ไกลถึงขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้ Facebook ประสบความสำเร็จ จึงไม่ใช่เรื่องของความเฮงเพียงอย่างเดียวแน่นอน แต่เป็นเพราะความมุ่งมั่นในการทำงานของเขา เพราะในเวลาเดียวกันกับที่ Mark Zuckerberg กำลังพัฒนา Facebook นั้น มีบริษัทที่มีศักยภาพหลายบริษัททำการพัฒนา website สื่อบริการทางสังคม (Social service) เหมือนกัน และน่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ความสำเร็จของ Facebook มาจากคำขวัญสั้นๆแต่ความหมายยาวไกลของ Mark Zuckerberg ที่ว่า “Move Fast and Break Things” อาจจะพอแปลเป็นไทยได้ว่า “เดินหน้าเร็ว และ ทำสิ่งใหม่” ทำให้ Facebook ไปถึงหลักชัยได้รวดเร็วกว่าคนอื่น
Facebook พัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2008 มีเจ้าหน้าที่ทำงาน 600 คน มีวิศวกรเพียง 150 คน แต่ในเดือน มิถุนายน 2012 ปีนี้ มีคนทำงานในบริษัท Facebook ถึง 3,976 คน โดยมีวิศวกรถึง 1,000 คน ดูแลผู้ใช้ Facebook ทั่วโลก หรือเฉลี่ยแล้ว วิศวกร 1 คน ดูแลผู้ใช้ Facebook 1 ล้านคน
การที่มีคนใช้ Facebook ถึง หนึ่งพันล้านคนทำให้ Facebook กลายเป็นคลังข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้บริษัทจำเป็นต้องสร้างคลังเก็บข้อมูลขนาดใหญ่อยู่ที่เมือง Prineville รัฐ Oregon สหรัฐอเมริกา มีเนื้อที่ 330,000 ตารางฟุต เนื้อที่คลังเก็บข้อมูลใหญ่โตมหาศาลขนาดนี้ จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลพร้อมกับความพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานไปพร้อมๆกัน บริษัทต้องระดมวิศวกรจำนวนมากช่วยกันคิด ในการออกแบบอาคารและการใช้สอยพื้นที่อย่างเหมาะสมเพื่อความมีประสิทธิภาพสูงสุด และอาคารนี้กำลังเป็นต้นแบบที่บริษัทจะสร้างอาคารลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายเมืองในสหรัฐอเมริกา และที่ประเทศสวีเดน
ทุกครั้งที่เราเข้า Facebook ไม่ว่าเราและเพื่อนๆทาง Facebook ของเราจะทำอะไร โปรแกรมของ Facebook จะทำงานได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทุกวันจะมีสมาชิก Facebook ถึง 2.7 พันล้านคน กด Like มีคนใช้ Facebook มากถึง 300 ล้านคน ที่ถ่ายรูปแล้วส่งภาพ (Up load) ให้สังคมเพื่อนบน Facebook ได้เห็นกิจกรรมความเคลื่อนไหว และทุกวันจะมีสมาชิก Facebook ถึง 2.5 ล้านคนเข้าตรวจหน้า Facebook ของตน และมีการทำรายการอื่นๆอีกมากมาย จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไม Facebook จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หลักคุณค่าในการทำงานที่ Facebook คือให้ความสนใจที่ผลที่เกิดขึ้นเป็นอันดับแรก (The No. 1 value here is focus on impact.) ถ้าคุณมีความคิดใหม่ๆแรงๆในวันนี้ วันพรุ่งนี้อาจจะมีคน 500 ล้านคนทั่วโลกทดลองใช้ สิ่งใหม่ที่คุณนำเสนอ ผู้บริหารของFacebook ให้อิสระแก่ทีมงานในการเสนอสิ่งใหม่ๆเสมอ และกล้าลองใช้สิ่งใหม่อย่างรวดเร็ว โดยมีหลักคิดว่า ยิ่งเราเรียนรู้ได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งดี เพราะเราจะได้รูปแบบของสิ่งที่เราควรจะไปถึงเร็วขึ้นเท่านั้น การทำงานของทีมงาน Facebook จึงตั้งอยู่บนหลักการทำงานที่ลองกับของจริง (Work on the live site) แม้จะมีความเสี่ยงต่อการล่ม (Site crashes)ในขณะทดลองใช้ก็ตาม Mark Zuckerberg ยอมรับว่าบริษัท Facebook ได้ทำความผิดพลาดมากกว่าบริษัทอื่น (“We make more mistakes than other companies do”) เพราะเมื่อบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ที่มีโอกาสทำสิ่งที่ผิดพลาดได้มากมาย และทำให้เดินไปข้างหน้าช้าลงเพราะต้องเสียเวลามากในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด (“ As we’ve gotten bigger, it is possible to make so many mistakes that you’re actually moving slower because you’re spending a lot of time fixing mistakes.”)
            Mark Zuckerberg กล่าวว่า “You can’t have everything, so you just have to choose what your values are and where you want to be.” คุณไม่สามารถมีทุกอย่างได้ ดังนั้นคุณจำต้องเลือกสิ่งที่คุณเห็นว่ามีค่า และที่ใดที่คุณต้องการไปถึงJ

แหล่งข้อมูล: www.businessweek.com/articles/2012-10-04/facebook-the-making-of-1-billion-users


วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แรงงานทักษะฝีมือขาดแคลน

“An idea well-expressed is like a design of gold, set in silver.
 A warning given by an experienced person to someone willing to listen is more valuable than gold rings or jewelry made of the finest gold.”          Proverbs 25:11-12
สำนักข่าวรอยเตอร์โดย Nick Zieminski รายงานว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายประเทศกำลังประสบปัญหาขาดคนทำงานที่มีทักษะฝีมือ (Skilled workers) เช่นวิศวกร และวิชาชีพสาขาอื่นๆ ทั้งนี้จากการศึกษาของบริษัท Manpower Group พบว่า 34 % ของนายจ้างทั่วโลกมีปัญหาไม่สามารถหาคนที่มีทักษะฝีมือตามที่ต้องการบรรจุเข้าในตำแหน่งที่ว่างได้ และตัวเลขนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากปี 2011
อย่างไรก็ตาม นายจ้างจำนวน 56 %ทั่วโลก รายงานว่าถึงแม้จะหาคนที่มีทักษะฝีมือมาทำงานได้ยาก จนมีตำแหน่งว่างงานของทักษะฝีมือเกิดขึ้นจำนวนมากก็ตาม แต่ปัญหานี้ยังมีผลกระทบน้อยมากต่อการลงทุนและลูกค้าในเวลานี้
ปัญหาเรื่องการขาดคนที่มีตะลันต์ความสามารถ (Talent Shortage) เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ในเวลาเดียวกันก็มีปัญหาคนว่างงานจำนวนมากในหลายประเทศเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาวที่กำลังตกงานอยู่ในเวลานี้ เพราะนายจ้างในหลายประเทศค่อนข้างจะระมัดระวังในการจ้างคนใหม่เข้ามาทำงาน เนื่องจากยังมีความไม่แน่ใจในความผันผวนทางเศรษฐกิจของโลก และหลายประเทศเพิ่งกำลังจะฟื้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ นายจ้างจึงพยายามที่จะดำเนินกิจการไปในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ขาดคนมีทักษะฝีมือทำงานไปก่อน ซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้ไม่น่าจะดำเนินไปได้นาน เนื่องจากในระยะยาวจะเป็นผลร้ายต่อนายจ้างเอง อาจทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมขาดความยั่งยืนในอนาคตได้ ปัญหาที่พบว่าเป็นสาเหตุในอันดับต้นๆที่ค้นหาคนมีทักษะฝีมือความสามารถได้ยากเป็นเพราะความสามารถของผู้สมัครงานไม่ครบถ้วนตามที่นายจ้างต้องการ และ ผู้สมัครงานมักขาดประสบการณ์ที่นายจ้างต้องการ
จากการสำรวจนายจ้างจำนวนมากกว่า 40,000 คน จาก 41 ประเทศ พบว่า ความต้องการสูงสุดของนายจ้างในช่วงเวลา 4-5 ปี ที่ผ่านมา คือคนที่มีทักษะฝีมือในการค้าขาย (Skilled trade workers)  และสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนคนงานที่มีทักษะฝีมือในเวลานี้ น่าจะเป็นผลมาจากการที่ระบบการศึกษาทั่วโลกเน้นที่การศึกษาในมหาวิทยาลัย 4 ปี และปล่อยให้หลักสูตรระดับอาชีวศึกษาลดน้อยถอยลงจนทำให้จำนวนคนเรียนในหลักสูตรอาชีวศึกษาและช่างเทคนิคต่างๆน้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่คนงานที่มีทักษะฝีมือรุ่นเก่าๆทยอยเกษียณอายุออกจากงานไปเรื่อยๆจึงเกิดการขาดแคลนคนงานที่มีทักษะฝีมือ และคาดว่าการขาดแคลนคนกลุ่มนี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปอีก จากการสำรวจพบว่าตำแหน่งงานที่มีความต้องการมากในปี2012 คือผู้แทนขาย (Sale representatives) ช่างเทคนิค (Technicians) เจ้าหน้าที่เทคโนโลยีสารสนเทศ นักบัญชี นักการเงิน ผู้จัดการ เชฟส์ (Chefs) คนขับรถยนต์ และคนงาน
นายจ้างในประเทศญี่ปุ่นมีปัญหาค่อนข้างมากในการหาพนักงานที่มีทักษะฝีมือ ตามด้วยนายจ้างในประเทศ บราซิล บุลกาเรีย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 49% ของนายจ้างรายงานว่ามีความยากลำบากในการหาคนในตำแหน่งที่ต้องการ ลดลงจาก 52% ของปีก่อน ในขณะที่ตำแหน่งงานทางช่างเทคนิคและงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการธุรกิจเป็นตำแหน่งงานที่มีความต้องการสูง นายจ้างในประเทศสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และอินเดีย แจ้งว่ามีคนงานทักษะฝีมือไม่เพียงพอกับความต้องการรวมทั้งตำแหน่งพยาบาลด้วยที่ขาดแคลนมาก ส่วนประเทศในยุโรปเช่น ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และสเปน ไม่ค่อยมีปัญหาในการหาคนมีทักษะฝีมือทำงานเท่าไหร่
การแก้ไขปัญหาของนายจ้างในเรื่องการขาดคนที่มีทักษะฝีมือในเวลานี้คือนายจ้างจัดการฝึกอบรมคนงานที่มีอยู่ให้มีทักษะฝีมือมากขึ้น และหาคนงานทักษะฝีมือจากพื้นที่อื่นที่อยู่ห่างไกลออกไป รวมทั้งใช้วิธีจัดคนงานที่มีอยู่ใส่ตำแหน่งงานที่ว่างแม้ว่าจะยังไม่มีทักษะฝีมือเท่าที่ควรในเวลานี้ก็ตาม แต่หวังว่าคนงานจะเกิดการเรียนรู้ในระหว่างการทำงานทำให้มีทักษะฝีมือมากขึ้น สำหรับวิธีการจ่ายค่าจ้างสูงขึ้นเพื่อดึงดูดคนที่มีทักษะฝีมือ ไม่ใช่แนวทางที่นายจ้างนิยม มีนายจ้างเพียง 8% ทั่วโลกที่ใช้วิธีเพิ่มเงินเดือน และมีนายจ้างเพียง 7% ที่ใช้การเพิ่มผลประโยชน์และสวัสดิการต่างๆ
ต่อไปนี้คือ ตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการมากที่สุดในปี 2012
(Jobs most in demand in 2012) จากการสำรวจนายจ้างมากกว่า 40,000 คน ใน 41 ประเทศ
1. Skilled Trades Workers
2. Engineers
3. Sales Representatives
4. Technicians
5. Drivers
6. Laborers
7. IT Staff
8. Accounting & Finance Staff
9. Chefs/Cooks
10. Management/Executives
ที่นำเรื่องนี้มาเสนอก็เพื่อให้นักบริหารการศึกษาไทย ได้พิจารณาทบทวนนโยบายการศึกษาของไทยในการผลิตคนออกมาป้อนตลาดแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) เพราะเป้าหมายการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจใหม่คือการเป็นฐานการตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน (Single market and single production base) ซึ่งการเป็นฐานการผลิตเดียวกัน หมายถึงการมีวัตถุดิบในการผลิต เครื่องจักร เงินลงทุน และที่สำคัญคือแรงงานที่มีทักษะฝีมือในประชาคมเดียวกัน เวลานี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีหน่วยงานใดในประเทศไทยทำการศึกษาวิจัยกันอย่างเป็นระบบแล้วหรือยังว่า เมื่อรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจ AEC กันแล้ว ประเทศไทยจะมีแรงงานที่มีทักษะฝีมือมากขึ้น หรือจะขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะฝีมือมากขึ้น เพราะไม่ทราบเหมือนกันว่า การไหลอย่างอิสระในการลงทุน และการไหลอย่างอิสระของแรงงานที่มีทักษะฝีมือในประชาคมเศรษฐกิจ AEC จะไหลเข้าหรือไหลออกจากประเทศไทย
เรื่องการผลิตคนเพื่อป้อนความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตอันใกล้จึงเป็นประเด็นที่น่าห่วงใยเพราะขณะนี้ประเทศไทยก็มีปัญหาในเรื่องความสมดุลในการผลิตแรงงานทักษะฝีมือกับความต้องการของตลาดแรงงานกันอยู่แล้ว เมื่อรวมกันเป็น AEC ใน 3 ปี ข้างหน้า ประเทศไทยจะมีปัญหาเรื่องแรงงานทักษะฝีมือเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เพราะเรื่องความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษ (English competency) ของคนไทยขณะนี้ อยู่ในระดับน่าเป็นห่วงมาก ข้อมูลจากบริษัทฝึกอบรมภาษาอังกฤษ Education First รายงานว่า ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 42 ได้คะแนน 39.41 ตามหลัง ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่อันดับที่ 34 ได้คะแนน 44.78 และ ประเทศเวียดนามอยู่อันดับที่ 39 ได้คะแนน 44.32 ทั้งหมดจัดอยู่ในกลุ่มประเทศมีความสามารถต่ำมาก (Very low Proficiency)  ส่วน ประเทศมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 9 คะแนน 55.54 จัดอยู่ในกลุ่มประเทศมีความสามารถสูง (High proficiency) ไปแล้ว
Nelson Mandela กล่าวว่า “Education is the most powerful weapon which you can use to change the world.” การศึกษาเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพมากที่สุดซึ่งคุณสามารถใช้เปลี่ยนโลกได้
ไม่แน่ใจว่าการศึกษาของประเทศไทย เป็นอะไร เพราะดูเหมือนว่า เด็กไทยยิ่งเรียนยิ่งแย่ลงเรื่อยๆครับ L