วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รักและเทิดทูนของคนรุ่นผม


เป็นเรื่องยากสำหรับคนรุ่นผมที่เกิดก่อนพ.ศ. ๒๕๐๐ จะปรับความรู้สึกให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้โดยเร็ว เพราะคนรุ่นผมเกิดมาก็ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยแล้ว ชีวิตเด็กหัวเมืองอย่างผม ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอยู่แต่ในธนบัตร ในกรอบรูปตามบ้าน ตามโรงเรียนที่แขวนไว้ตามห้องเรียน และตามปฏิทินที่แขวนไว้ตามร้านค้าในตลาด


เมื่อยังไม่มีโทรทัศน์ที่จังหวัดเชียงใหม่ พวกเราได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในภาพยนต์ ข่าวพระราชกรณียกิจสั้นๆที่ฉายในโรงภาพยนต์ก่อนที่เพลงสรรเสริญพระบารมีจะดังขึ้นพร้อมภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯให้เรายืนขึ้นถวายความเคารพ

ต่อมาเมื่อมีโทรทัศน์ขาวดำในจังหวัดเชียงใหม่ พวกเราค่อยได้เห็นข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฏรของพระองค์ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นข่าวย้อนหลังไปสองสามวัน และเมื่อบ้านเมืองเจริญจนมีโทรทัศน์สี ข่าวพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเวลา 20.00 น. ของทุกวัน เป็นข่าวที่พวกเราติดตามชม เนื่องจากมีความน่าสนใจ มีสาระความรู้มากกว่าข่าวราชการทั่วๆไป เพราะข่าวโทรทัศน์ในยุคสมัยก่อนนำเสนอด้วยการอ่านข่าวและมีภาพประกอบเพียงเล็กน้อย


ผมได้มีโอกาสเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเป็นครั้งแรกเพียงแวบเดียวตอนเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา  ครูพานักเรียนไปตั้งแถวที่ถนนเจริญเมืองใกล้สถานีรถไฟเชียงใหม่ เพราะพระองค์เสด็จพระราช ดำเนินมาจังหวัดเชียงใหม่โดยทางรถไฟ เป็นความตื่นเต้นมากๆที่จะได้มีโอกาสเห็นพระเจ้าแผ่นดินไทย ครูสั่งให้โบก ธงชาติกระดาษเล็กๆและให้ร้องทรงพระเจริญเมื่อรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่าน แต่ผมลืมไปหมดเมื่อเวลารถยนต์ พระที่นั่งแล่นผ่านตรงหน้าผมไป ได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินไทยเพียงแค่แวบเดียวจริงๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่เอาไป เล่า พูด คุยอวดกันในหมู่เพื่อนๆในหมู่บ้านได้อีกหลายวันว่าได้เห็นพระมหากษัตริย์ไทย


ผมได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอีกครั้งตอนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ทรงพระราชทานเลี้ยงอาหาร และทรงดนตรีด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และของสมเด็จพระบรมราชินีนาถอย่างชัดเจน


และที่เป็นความปลาบปลื้มปิติใจที่สุดในชีวิตของผมคือ การได้มีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเสด็จ พระราชดำเนินมาเปิดอาคารผู้ป่วย ตึกมหิดล โรงพยาบาลแมคคอร์มิคเชียงใหม่ ซึ่งผมได้รับมอบหมายจากคณะผู้บริหารโรงพยาบาล ให้เป็นผู้ถวายพระแสงกรรไกรตัดพวงดอกไม้ตรงหน้าประตูทางเข้าตึกมหิดล 


และ กราบบังคมทูลเชิญลงพระปรมาภิไธยในแผ่นหินอ่อนที่ได้จัดเตรียมไว้ที่ห้องพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ซึ่งอยู่ชั้นสองของอาคารมหิดล


คนรุ่นผม เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงเพียงไม่กี่ปี บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพยากลำบาก ประเทศยังไม่พัฒนาทั้งเสถียรภาพทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ ประเทศขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ถนนส่วนใหญ่ยังเป็นถนนลูกรัง ไฟฟ้ายังมีไม่ทั่วถึง น้ำประปายังไม่มี ต้องใช้น้ำบ่อหรือน้ำโยกจากเครื่องสูบน้ำแล้วกรองผ่าน ทรายและถ่าน ชีวิตประชาชนชาวไทยในเวลานั้นยังทุกข์ยากลำบากมาก


ชีวิตที่ทุกข์ยากลำบากของประชาชนกลับทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงลำบากพระทัยมากกว่า พระองค์มีพระประสงค์ต้องการเอาชนะความยากจน เพื่อประชาชนของพระองค์จะได้อยู่ดีกินดี มีความสุข จึงทำให้พระองค์ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชน ทรงมีพระราชดำริใหม่เสมอเมื่อพบปัญหาในแต่ละท้องถิ่น ทำให้เกิดโครงการในพระราชดำริมากมาย ทั้งหมดทุกโครงการล้วนมีเป้าหมายเดียวคือ ความสุขของประชาชน


คนรุ่นผม มีเพื่อนหลายคนเป็นทหารไปรบที่ประเทศเวียตนามและบางคนเสียชีวิต เพื่อนบางคนกลับมาเสียชีวิตที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง สีชมพู ในสมัยที่ประเทศไทยมีผู้ก่อการร้ายที่ต้องการ เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อรัฐบาลสร้างถนน สร้างเขื่อน ผู้ก่อการร้ายจะทำการขัดขวาง เข้าโจมตี เผาทำลายเครื่องจักรอุปกรณ์การก่อสร้าง เมื่อการก่อสร้างเข้าไปอยู่ในเขตพื้นที่ที่พวกเขามีอิทธิพล แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเสด็จพระราช ดำเนินเข้าไปในพื้นที่เพื่อปลอบขวัญให้กำลังใจแก่ชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ ทำให้การก่อสร้างถนนสายสำคัญหลายสายและเขื่อนใหญ่ๆสำเร็จ แม้จะล่าช้ากว่ากำหนดไปบ้าง


เมื่อมีน้ำจากเขื่อนให้ชาวบ้านได้ทำการเพาะปลูก มีพลังงานน้ำจากเขื่อนผลิตไฟฟ้าเข้าหมู่บ้านทำให้มีไฟฟ้าใช้ มีถนนผ่านหมู่บ้านให้ขนสินค้าการเกษตรออกมาขายในเมืองได้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเริ่มดีขึ้น มีโรงเรียน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ เพราะพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงเข้าใจปัญหาและทรงแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องด้วยการต่อสู้กับความยากจน และทรงสามารถเอาชนะความยากจนได้ จากโครงการในพระราชดำริที่เกิดผลดีในเวลาต่อมา ผู้ก่อการร้ายไม่มีเงื่อนไขที่ใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมอีกต่อไป




คนรุ่นผม อยู่ในเหตุการณ์ วันมหาวิปโยค วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ การจลาจลนองเลือดวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และ พฤษภาทมิฬ ๒๕๓๕ พวกเราทุกคนทราบดีว่า ถ้าไม่มีพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทำให้เหตุการณ์ร้ายยุติลงได้ เหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศคงบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่มีคนบาดเจ็บล้มตายอีกมากมาย และคงไม่มีความสงบสุขเกิดขึ้นในประเทศไทย


คนรุ่นผม เป็นคนที่มีอายุมากกว่า ๖๐ ปีขึ้นไป  มีชีวิตได้เห็นความรักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯที่มีต่อประชาชนชาวไทย และพี่น้องชนเผ่าที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้เห็นการทรงเสียสละเพื่อประชาชนอยู่ตลอดเวลาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระมหากษัตริย์ที่ชาวบ้านเรียกพ่อหลวง ตั้งแต่พวกเรายังเป็นเด็กนักเรียน จนถึงเวลานี้เป็นผู้สูงวัยกันหมดแล้ว


คนรุ่นผม อยากบอกกับลูกหลานว่า
ถ้าไม่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ประเทศไทยจะไม่พัฒนาเจริญอย่างทุกวันนี้ ที่ทำให้ลูกหลานทั้งหลายมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายขนาดนี้ ในเวลานี้


และ คนรุ่นผม อยากบอกกับลูกหลานว่า
ให้ลูกหลานได้หยุดคิด ใช้สติพิจารณา และใคร่ครวญศึกษาการทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ แล้วจะได้รู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณถึงความรัก ความเสียสละ ความอดทน ความมีพระอัจฉริยะภาพ และพระเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ที่มีต่อประชาชนชาวไทย

กษัตริย์ไทยพระองค์นี้ทรงมีความเป็นเลิศในทุกด้านจริงๆ


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร


ที่คนรุ่นผม เคารพรักเทิดทูนจนชีวิตจะหาไม่


ขอขอบคุณ: คุณนภันต์ เสวิกุล สำหรับภาพพระบรมฉายาลักษณ์
และขอบคุณเจ้าของภาพถ่ายเหตุการณ์ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖