วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

Baltimore เดือด




“Don’t accuse a person for no good reason; don’t accuse someone who has not harmed you.”        Proverbs 3:30

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งของเมือง Baltimore ประเทศสหรัฐอเมริกากลายเป็นทะเลเพลิง เมื่อฝูงชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่มสาวและชาวบ้านที่เป็นคนผิวสีออกมาอาละวาด ตามท้องถนน จุดไฟเผา ทุบทำลายรถยนต์ตำรวจ รถยนต์ชาวบ้าน วางเพลิงร้านค้า ทุบทำลายกระจกสำนักงานร้านค้า หยิบฉวยเอาสินค้าในร้านค้า ขว้างปาก้อนหิน พยายามทำร้ายตำรวจ จนทั้งเมืองโกลาหลวุ่นวาย ทำให้ผู้ว่าการรัฐต้องใช้อำนาจประกาศภาวะฉุกเฉิน (State of emergency) และประกาศห้ามคนออกนอกบ้านในยามวิกาล (Curfew) ระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 05.00 น. เพื่อควบคุมสถานะการณ์ และให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (The National Guard) เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับตำรวจท้องถิ่นเพื่อยุติเหตุจลาจลโดยเร็ว
 
ความไม่พอใจของคนผิวสีในเมือง Baltimore เกิดจากกรณีที่ตำรวจไล่จับนาย Freddie Gray คนผิวสี ที่พอเห็นตำรวจก็หันหลังวิ่งหนี ทำให้ตำรวจวิ่งไล่จับและตะครุบตัวได้ในที่สุด ใส่กุญแจมือ และลากไปขังในรถตู้ของตำรวจ เมื่อนาย Freddie Gray ร้องดิ้นโวยวายใหญ่ ตำรวจเลยใส่กุญแจข้อเท้าให้อีกชุด เพื่อไม่ให้ดิ้น ซึ่งนาย Freddie Gray ได้พยายามขอร้องตำรวจให้เรียกรถพยาบาลเพราะรู้สึกเจ็บต้องการไปโรงพยาบาล แต่ตำรวจไม่สนใจ จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ถึงได้เรียกรถพยาบาลมารับไปโรงพยาบาล แต่ในเวลาต่อมานาย Freddie Gray ได้เสียชีวิตลงเพราะกระดูกสันหลังได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง (severe spinal injury) ทำให้คนผิวสีในเมือง Baltimore โกรธแค้นและออกมารวมตัวกัน ทำลายสิ่งของและจุดไฟเผา อาคารร้านค้า จนเมืองจลาจลวุ่นวาย
 
พอคนผิวสีออกมาอาละวาดตามถนนมากขึ้น ตำรวจต้องถอนกำลังที่ประจำอยู่ตามย่านธุรกิจ ศูนย์การค้า ไปช่วยคุมพื้นที่ที่คนผิวสีประจันหน้ากับตำรวจ เลยเปิดโอกาสให้คนผิวสีบุกทุบกระจกร้านค้าเข้าไปหยิบฉวยสินค้าเสื้อผ้า อาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค เอากลับไปใช้ที่บ้านตามใจชอบ คนผิวสีวัยรุ่นบุกร้านขายเหล้ากวาดเอาเหล้าเบียร์ ออกมาแจกจ่ายบริโภคกัน พอดื่มได้อารมณ์ฮึกเหิม ก็พากันลุยจุดไฟเผาบ้านเผาเมืองซะเลย จนทางการต้องประกาศให้พ่อแม่ผู้ปกครองไปตามหาและพาลูกหลานกลับเข้าบ้านโดยด่วน เพราะเห็นวัยรุ่นบางกลุ่มใส่กางเกงฟอร์มของโรงเรียนออกมาร่วมสร้างผลงานตามถนนกับเขาด้วย เนื่องเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้กระสุนยาง และจับพวกก่อความวุ่นวายเข้าห้องขังแล้ว


คนผิวสีมากกว่า 2,500 คน มาร่วมงานพิธีศพของนาย Freddie Gray ที่โบสถ์คริสตศาสนานิกายแบ๊บติส ท่ามกลางความรู้สึกเศร้าสลดใจ มีผู้นำของคนผิวสี ทั้งนักการเมือง และ นักการศาสนา ที่มีชื่อเสียงหลายท่านมาร่วมงานและกล่าวคำไว้อาลัย ทำให้งานพิธีศพใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง เมื่อทำพิธีฌาปนกิจร่างนาย Freddie Gray เสร็จแล้ว ความรู้สึกไม่พึงพอใจที่คุกรุ่นอยู่ในใจของคนผิวสีกลับกระพือมากขึ้น ความรู้สึกว่าชีวิตของผิวสีไม่มีความหมาย เริ่มแสดงออกสื่อเป็นตัวอักษรตามกำแพง เช่น ชีวิตคนดำก็มีความค่า (Black Lives Matter) และ ทุกชีวิตมีค่า (All Lives Matter)
 
 

ความจริงตำรวจก็ได้รับทราบข้อมูลความรู้สึกไม่พอใจของคนผิวสี ที่สื่อสารถึงกันในระหว่างพิธีศพว่ามีกลุ่มแก็งค์คนผิวสี  3 กลุ่มกำลังประสานกันว่าจะรวมตัวกันออกมาเอาคืนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างไร แต่ตำรวจไม่ได้คิดว่าจะเอาคืนกันรุนแรงขนาดนี้ ผลจากการปะทะกันระหว่างคนผิวสี กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ตำรวจบาดเจ็บไม่น้อยกว่า 15 คน และต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2 คน
 
เรื่องการตายของนาย Freddie Gray ทางตำรวจ FBI และ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมจากส่วนกลางกำลังเข้ามาสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นที่อาจมีส่วนพัวพันทำให้ผู้ต้องหาตายในระหว่างการจับกุม ซึ่งขณะนี้ได้สั่งพักงานเจ้าหน้าตำรวจ 6 นายไปแล้ว ต้องคอยดูว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีความโปร่งใสและเป็นธรรมอย่างไรต่อไป
 
คนผิวสีในประเทศสหรัฐอเมริการู้สึกว่า ไม่มีความเป็นธรรม ไม่มีความน่าเชื่อถือในสังคม เหมือนกลับไปสู่ยุคสมัยของสาธุคุณ Martin Luther Kings ที่เรียกร้องขอเสรีภาพและความเสมอภาคให้กับคนผิวสี ซึ่งความรู้สึกของคนผิวสีที่ไม่ได้รับความเสมอภาคในการปฏิบัติจากสังคมอเมริกันกำลังขยายตัวกว้างกระจายไปทั่วประเทศในเวลานี้ ทั้งๆที่ประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เป็นคนผิวสี
 
ครอบครัวของนาย Freddie Gray ผู้ตายรู้สึกตกใจที่การตายของเขาเป็นสาเหตุให้เมืองเกิดการจลาจลทำให้มีความเสียหายเกิดขึ้นมากมาย และได้ขอร้องให้ยุติการจลาจลโดยเร็ว และขอให้ใช้แนวทางสันติวิธีแทน
 
ที่นำเรื่องการจลาจลที่เมือง Baltimore ประเทศสหรัฐอเมริกา มาเสนอ เพื่อเป็นการเรียนรู้ร่วมกันว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา มีปัญหาสังคม ที่มีความเหลื่อมล้ำทางฐานะทางเศรษฐกิจ และฐานะทางสังคมอยู่มากมาย แม้ประเทศสหรัฐอเมริกาจะทำตัวและประกาศว่า เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตย มีเสรีภาพ มีความเท่าเทียมกัน และพยายามกดดันให้ประเทศอื่นๆทั่วโลกต้องมีประชาธิปไตยเหมือนตน แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่เมือง Baltimore นี้ เป็นความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่า การมีประชาธิปไตย ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนจนของประเทศสหรัฐอเมริกานับหมื่น นับแสนคนไม่มีบ้าน ต้องซุกหัวนอนตามซอกตึก ตามสวนสาธารณะ มีให้เห็นทั่วไปตามเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา

ประชาธิปไตย ไม่ได้ช่วยป้องกันให้คนรวยมีโอกาสเอาเปรียบคนจนมากขึ้น และประชาธิปไตยอาจทำให้เกิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาเอง เป็นตัวอย่างของความไม่เท่าเทียมกันของรายได้และความมั่งคั่ง จากการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ Emmanuel Saez  และ Gabriel Zucman พบว่า ตั้งแต่ปี 1930 ซึ่งเป็นปีที่โลกเจอวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรง (The Great Depression) มาจนถึงช่วงปี 1970 ประเทศสหรัฐอเมริกามีการกระจายความมั่งคั่งได้ค่อนข้างจะดีในช่วงปีต้นๆ แต่ในช่วงปีหลังๆมานี้ การกระจายความมั่งคั่งเริ่มมีลักษณะเป็นรูปตัว U คือ เริ่มมีความแตกต่างที่ไม่เท่าเทียมกัน (Wealth inequality) มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นลักษณะความร่ำรวยมากกระจุกอยู่ในคนกลุ่มน้อย แต่ความจนมากกระจายอยู่ในคนกลุ่มใหญ่ คนอเมริกันที่ร่ำรวยสูงสุดจำนวนเพียง 0.1 เปอร์เซนต์ มีความร่ำรวยเพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซนต์ในปี  2012 จากที่เคยเป็นเพียง 7 เปอร์เซนต์ในช่วงปลายปี 1970 และกลุ่มคนรวยมากสุดของสหรัฐอเมริกาจำนวนเพียง 0.1 เปอร์เซนต์นี้ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 160,000 ครอบครัวเท่านั้นเอง แต่ทรัพย์สินของบรรดาอภิมหาเศรษฐีจำนวน 160,000 ครอบครัวนี้ มีมูลค่าเท่ากับทรัพย์สินของกลุ่มคนอภิมหาจนของสหรัฐอเมริกาจำนวนถึง 145,000,000 ครอบครัวรวมกัน

ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่ากลุ่มคนสุดจะยากจนมากๆของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวสี จะมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมาก มีฐานะทางสังคมที่ด้อยกว่า มีความคับแค้นใจที่เห็นความมั่งมีมากมากและความสุขสบายของคนผิวขาว กับความไม่มีมากมากและความทุกข์ยากของคนผิวดำ ในชีวิตประจำวันของพวกเขา และยังมองไม่เห็นความหวังอะไร ที่จะทำให้สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกเขาดีขึ้น

          เหตุการณ์การก่อจลาจลของคนผิวสีใน Baltimore ครั้งนี้ อาจจะเป็นเพียงปลายยอดภูเขาน้ำแข็งที่เริ่มโผล่เหนือผิวน้ำ ข้างใต้น้ำลึกยังมีปัญหาก้อนใหญ่มหึมาซ่อนอยู่ และเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ เพราะประเทศไทยอยู่ในกระแสเศรษฐกิจแบบเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกา และบางทีประเทศไทยอาจจะเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ เพราะประเทศไทยอาจจะมีอภิมหาเศรษฐีจำนวนไม่ถึง 100 ครอบครัว แต่ครอบครองทรัพย์สินจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของคนจนมากมากในประเทศไทย 10 ล้านคนรวมกันก็ได้ และถ้าเราไม่ได้ทำการแก้ไขให้ช่องว่างความแตกต่างกันที่ห่างกันมากๆของความมั่งคั่งของประชากรให้ดีขึ้น เหตุการณ์แบบ Baltimore Model อาจเกิดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ได้

Bob Marley กล่าวว่า The greatness of a man is not in how much wealth he acquires, but in his integrity and his ability to affect those around him positively.” ความยิ่งใหญ่ของคนไม่ได้อยู่ที่เขามีความมั่งคั่งเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ความสัตย์ซื่อ และความสามารถของเขาที่มีผลในทางที่ดีต่อคนที่อยู่รอบๆตัวเขา

          Mahatma Gandhi กล่าวว่า It is health that is real wealth and not pieces of gold and silver.” ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือสุขภาพ ไม่ใช่เงินและทอง

 

แหล่งข้อมูล: Associated Press; Juliet Linderman and Jeff Horwitz

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเป็นเพื่อนทางความคิด และ

ขอบคุณที่ช่วยแนะนำให้เพื่อนมาเยี่ยม


สมชัย ศิริสุจินต์

ปล. ผมมี page ใน Facebook ชื่อ kiddee ว่างๆเชิญเยี่ยมด้วยครับ

https://www.facebook.com/suntivaja

 

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

เมื่อจีนขยับ



“Don’t plan anything that will hurt your neighbor; he lives beside you, trusting you.”                                                                     Proverbs 3:29

 
สวัสดีปีใหม่ไทย ขอให้มีความสุขใจสบายกายกันทุกคนนะครับ


                สงกรานต์ที่เชียงใหม่ปีนี้มีคนต่างชาติเข้ามาสนุกสนานกับการเล่นน้ำมากขึ้น ที่ผ่านมาหลายปีสงกรานต์เชียงใหม่มีแต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่แห่กันขับรถยนต์ขึ้นมาเล่นน้ำปีใหม่จนทำให้เชียงใหม่รถติด ร้านอาหารแทบทุกร้านที่นั่งเต็มต้องยืนรอต่อคิวเข้าร้าน จนคนท้องถิ่นพากันหลบอยู่แต่ในบ้านเพราะไม่คุ้นชินกับความแออัด ต่อมาก็มีฝรั่งแห่พากันมาเดินตามถนนในเชียงใหม่ใส่เสื้อผ้าเบาบางให้คนไทยที่มาจากต่างจังหวัดฉีดน้ำใส่เห็นรูปร่างเปียกน้ำของฝรั่งเป็นที่สนุกสนานสำราญใจจนสาวไทยทั้งสาวแท้และสาวไม่แท้ได้ใจเอาอย่าง มาปีนี้ชาวจีนแห่พากันมาเล่นน้ำสงกรานต์ที่เชียงใหม่โดยไม่ได้นัดหมาย ผมไม่ทราบจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในเชียงใหม่ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ รู้แต่ว่าไปที่ไหนในเชียงใหม่ต้องเจอนักท่องเที่ยวจีน ไปซื้อของที่ Big C ก็เจอนักท่องเที่ยวจีนเดินจับจ่ายซื้อของกันค่อนข้างมาก จนเวลานี้ทางห้างต้องประกาศภาษาจึนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งภาษา และที่ช่องจ่ายเงินมีภาษาจีนกำกับอธิบายการใช้บัตรเครดิต จนบางเวลาผมรู้สึกไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในเมืองเชียงใหม่ หรือเมืองจีนกันแน่
          จีน เป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่มากจนเราไม่สามารถหนีให้พ้นได้ และประเทศไทยต้องเตรียมตัวอยู่ร่วมกับประเทศจีนในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะนี้เราอาจจะรู้สึกว่าประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวกันมากมาย และพบเห็นนักท่องเที่ยวจีนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก และอาจจะรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์อยู่บ้างที่เห็นพฤติกรรมแปลกๆของนักท่องเที่ยวจีน แต่ก็ต้องทำใจและเข้าใจว่าคนจีนเพิ่งมีโอกาสออกจากบ้าน ออกนอกประเทศไปเที่ยวบ้านคนอื่นเพราะตอนนี้มีเงินมากพอที่จะไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองได้แล้ว คนจีนกำลังเรียนรู้โลกภายนอกเหมือนกันว่าสิ่งที่พวกเขาเคยทำได้ไม่มีใครว่าในบ้านของเขา เพราะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่คนบ้านอื่นเมืองอื่นไม่กระทำและไม่นิยมกัน เราคงต้องให้เวลาแก่คนจีนในการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมสากล
          ประธานาธิบดี Xi Jinping ของจีน ได้กล่าวในที่ประชุมใหญ่เรื่อง อนาคตใหม่ของเอเซีย: มุ่งสู่ประชาคมที่มีเป้าหมายเดียวกัน ("Asia's New Future: Toward a Community of Common Destiny") ซึ่งจัดขึ้นที่เมือง Boao มณฑล  Hainan เมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เป็นการประชุมใหญ่ว่าด้วยเรื่อง การเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การพัฒนาทางนวัตกรรมและเทคโนโลยี และการพัฒนาทางการเมืองและความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย มีผู้นำจาก 15 ประเทศทั่วโลก และนักธุรกิจ ผู้นำองค์กร นักวิชาการ ผู้สื่อข่าว ประมาณ 2,800 คนเข้าร่วมในการประชุมนี้ และมีการเสวนาอภิปรายในหัวข้อเรื่องต่างๆ กว่า 70 หัวข้อ ตลอดเวลาการประชุม 4 วัน ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ ดังนั้นจึงต้องมีไหล่ที่กว้างใหญ่ในการแบกรับความรับผิดชอบ สิ่งที่ท่านประธานาธิบดีประเทศจีนพูดหมายถึงการที่ประเทศจีนได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกไปแล้วเมื่อปี 2013 และคนทั่วไปได้คาดการณ์ไปล่วงหน้าแล้วว่าอีกไม่นานประเทศจีนจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาประเทศจีนได้พยายามเสนอความริเริ่มในการส่งเสริมการพัฒนาภูมิภาคอาเซียนโดยการเสนอจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งอาเซียน (the Asian Infrastructure Investment Bank) จุดประสงค์ใหญ่ของประเทศจีนคือการลงทุนเรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอาเซียนที่จะทำให้ประเทศจีนสามารถเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆในอาเซียน ผ่านประเทศพม่า ลาว เวียตนาม กัมพูชา ไทย ไปสู่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และ อินโดนีเซีย โดยประเทศจีนมองว่า ปริมาณเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มอาเซียนมีขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในสามของเศรษฐกิจโลก มีเม็ดเงินมหาศาลที่ประเทศจีนสนใจอยากลงทุนและค้าขายด้วย
ในหลายปีที่ผ่านมา ประเทศจีนได้เดินสายสร้างความตกลงกับประเทศต่างๆรอบบ้านไปแล้วหลายเรื่อง และกำลังเจรจากับ ASEAN อยู่ในเวลานี้ ซึ่งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ก็คงยินดีต้อนรับความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีนเพื่อผลประโยชน์ของอาเซียนทางเศรษฐกิจ และเพื่อสร้างสมดุลย์ทางการเมืองกับประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศประชาคมยุโรป ที่มักใช้กฏเกณฑ์ต่างๆทางการเมืองมาบีบเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งท่านประธานาธิบดี Xi ก็ได้พูดเสียงดังๆไปแล้วว่าไม่อยากเห็นการเข้ามาแทรกแซงเรื่องกิจการภายในบ้านเมืองของคนอื่น ด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัว ซึ่งจะทำให้ภูมิภาคนี้เกิดสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายได้ และขอให้เลิกความคิดสร้างสงครามเย็นได้แล้ว ปล่อยให้ภูมิภาคเอเซียเขาแสวงหาหนทางแห่งสันติภาพของเขาเอง พูดแบบเกรงใจอย่างนี้ เพื่อส่งสัญญาณให้มหาอำนาจบางประเทศได้รู้ว่าอย่างเข้ามายุ่มย่ามในถิ่นภูมิภาคนี้มากจนเกินไป ประเทศจีนไม่ค่อยปลื้ม

 



ธนาคาร Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB) ที่ประเทศจีนตั้งใจตั้งขึ้นมานี้ มีเบื้องหลังเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้กับประเทศกลุ่มอาเซียน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาการลงทุนพัฒนาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล เกินกำลังความสามารถของแต่ละประเทศในอาเซียน จำเป็นต้องอาศัยแหล่งเงินกู้จากธนาคารแห่งการพัฒนาอาเซียน Asian Development Bank (ADB) และธนาคารโลก World Bank ซึ่งรู้กันอยู่ว่าทั้งสองธนาคารนี้อยู่ภายใต้การครอบงำของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศประชาคมยุโรป การปล่อยเงินกู้ภายใต้โครงการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารก่อน และให้เงินกู้อย่างมีเงื่อนไขเงื่อนเวลา ทำให้โครงการก่อสร้างถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ สะพานข้ามแม่น้ำ สนามบิน โครงข่ายโทรคมนาคม เขื่อน พลังงานไฟฟ้า เป็นไปอย่างเชื่องช้าใช้เวลานับ 10 ปี แล้ว โครงการต่างๆยังไม่เสร็จตามแผน ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีแน่ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศจีน ตอนนี้ประเทศจีนมีเงินและทองคำกองเป็นภูเขาแล้ว สมควรตั้งธนาคารขึ้นมาเพื่อเอาเงินมาใช้ลงทุนทำโครงสร้างพื้นฐานในประชาคมอาเซียน ซึ่งจะทำให้ประเทศจีนสามารถเชื่อมต่อกับประเทศอาเซียนได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น พอมีธนาคาร AIIB สายพันธุ์จีนตั้งขึ้นมาแข่ง ทั้งธนาคาร ADB และธนาคาร World Bank ก็ต้องปรับท่าทีนโยบายกันใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอาเซียนทั้งหมด
วิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศจีนคือมองเห็นการเชื่อมต่อ (Connectivity) เส้นทางถนน รถไฟ และทางเรือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนมีความสำคัญเหมือน เส้นทางสายไหม (Silk Road) ในอดีตของประเทศจีนที่เชื่อมต่อประเทศจีนกับประเทศในเอเซียตะวันออกกลาง และยุโรป เป็นเส้นทางการค้าที่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนค้าขายระหว่างทวีป ซึ่งทำให้ประเทศจีนมีความเจริญเติบโตรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมาก การที่ประเทศจีนสามารถเชื่อมต่อกับประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างสะดวกจึงเป็น “Silk Road Economic Belt” เส้นทางสายไหม เข็มขัดเศรษฐกิจใหม่ของประเทศจีน ในทัศนะของท่านประธานาธิบดี Xi
คาดว่าจะสามารถเปิดธนาคารใหม่ AIIB อย่างเป็นทางการได้ประมาณปลายปีนี้ ขณะนี้มีประเทศต่างๆกว่า 21 ประเทศ รวมทั้งประเทศ อินเดีย และสิงคโปร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมก่อตั้งธนาคารนี้ไปแล้ว และยังมีอีกหลายประเทศกำลังเข้าคิวทำบันทึกความเข้าใจกับประเทศจีนเพื่อร่วมเป็นสมาชิกก่อตั้งธนาคารใหม่แห่งนี้ ซึ่งจะลงทุนด้วยเงินก้อนแรกประมาณ 100 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ($100 billion) โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง การเปิดตัวธนาคารใหม่ AIIB ที่มีประเทศจีนเป็นเจ้าภาพใหญ่อย่างนี้ในเวลาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศประชาคมยุโรปยังไม่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีนัก ทำให้หลายประเทศอย่างเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ลักเซมเบอร์ก สวิสเซอร์แลนด์ เตอรกี ออสเตรีย และ เกาหลีใต้ ขอสมัครเข้าร่วมก่อตั้งธนาคารใหม่นี้ด้วยเพื่อขอมีเอี่ยวไว้ก่อน เนื่องจากมองเห็นผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนร่วมกับประเทศจีนในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะประเทศจีนได้ประกาศไว้แล้วว่าได้ตั้งเป้าหมายจะนำเข้าสินค้ามูลค่า มากกว่า 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ($10 trillion) ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้านี้ ใครๆก็อยากเป็นมิตรกับประเทศจีนในเวลานี้ อยากทำมาค้าขายกับประเทศจีน เพราะประเทศจีนมีกำลังซื้อมหาศาล
คำถามสำหรับท่านและผมคือ ประชาชนคนไทยได้คิดอะไรบ้างแล้วหรือยัง ในการที่ต้องอยู่ร่วมกับประเทศจีน และต้องทำมาค้าขายกับประเทศจีน ประเทศไทยจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างในการอยู่ร่วมกับประเทศจีนอย่างได้ประโยชน์ อย่าลืมว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา และต้องมีความพร้อมเมื่อโอกาสมาถึง อย่าปล่อยให้โอกาสที่ดีหลุดลอยไป เพราะโอกาสดีๆไม่มีให้บ่อยๆครับ

พูดเรื่องประเทศจีนแล้วก็ต้องปิดท้ายด้วยคำคมให้คิดของปราชญ์ชาวจีน

Sun Tzu กล่าวว่า “The supreme art of war is to subdue the enemy without fighting.” ศิลปะสูงสุดในการทำสงครามคือการบีบบังคับให้ศัตรูอยู่ใต้อำนาจโดยไม่ต้องทำการรบ

Lao Tzu กล่าวว่า “Mastering others is strength. Mastering yourself is true power.” ปกครองผู้อื่นคือการมีความเข้มแข็ง ปกครองตนเองคือการมีอำนาจอย่างแท้จริง

อยากปกครองตนเอง หรือถูกคนอื่นปกครองครับ

 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเป็นเพื่อนทางความคิด และ

ขอบคุณที่ช่วยแนะนำให้เพื่อนมาเยี่ยม


สมชัย ศิริสุจินต์

ปล. ผมมี page ชื่อ kiddee ว่างๆเชิญเยี่ยมด้วยครับ

https://www.facebook.com/suntivaja

 

แหล่งข้อมูล: ZHAO SHENGNAN in Boao, Hainan (chinadaily.com.cn)

 

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

Salute Lee Kuan Yew



 “You won’t be afraid of sudden trouble; you won’t be fear the ruin that comes to the wicked, because the Lord will keep you safe. He will keep you from being trapped.”                                           Proverbs 3: 25-26

งานรัฐพิธีศพของท่าน Lee Kuan Yew นายกรัฐมนตรีก่อตั้งของสิงคโปร์ (The founding Prime Minister of Singapore.) ผ่านไปแล้วด้วยขบวนศพเกียรติยศที่สง่างามและสวยงามสมเกียรติ ท่ามกลางความอาลัยรักของชาวสิงคโปร์ และผู้นำประเทศต่างๆที่รู้จักเขา
ขอนำวิสัยทัศน์ ความคิด ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น ความเสียสละ ความรักประเทศ ความดีงาม ของท่าน ลี กวน ยู ที่ท่านได้ตัดสินใจลงมือทำ และปฏิบัติ ในฐานะผู้นำประเทศสิงคโปร์มาเป็นบทเรียนรู้สำหรับคนไทย การเสียชีวิตตามอายุขัยของท่านผู้นำประเทศสิงคโปร์ ควรเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังทั่วโลกได้ศึกษาเรียนรู้และเกิดแรงบันดาลใจในการทำดี เสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ เพื่ออนาคตที่ดีกว่า แน่นอนว่า ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู ต้องมีด้านที่ไม่ค่อยเป็นที่พึงพอใจของประชาชนอยู่บ้าง เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องมีจุดอ่อนของชีวิต แต่ไม่มีประโยชน์ในการนำสิ่งเหล่านั้นมากล่าวย้ำอีก เพราะมันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว  
 “But I say to you: here we make the model multi-racial society. This is not a country that belongs to any single community: it belongs to all of us. You helped built it; your fathers, your grandfathers helped build this… Over 100 years ago, this was a mud-flat, swamp. Today, this is a modern city. Ten years from now, this will be a metropolis. Never fear.”
– Sharing his vision for Singapore at the Sree Narayana Mission on 12 September 1965.
“แต่ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า  ที่นี่เราทำรูปแบบสังคมหลายชาติพันธุ์ ที่นี่ไม่ใช่ประเทศที่เป็นของชุมชนใดชุมชนเดียว แต่เป็นประเทศของพวกเราทุกคน ท่านได้ช่วยกันสร้าง บิดาของท่าน ปู่ของท่านได้ช่วยสร้าง มากกว่าร้อยปีก่อนโน้น พื้นที่นี้เป็นเพียงโคลนตม เป็นปลักหนอง วันนี้ที่นี่เป็นเมืองทันสมัย 10 ปีจากนี้ไป ที่นี่จะเป็นมหานคร ไม่เคยกลัว”
เป็นคำกล่าวของท่าน ลี กวน ยู เมื่อวันที่ 12 กันยายน1965 ที่แสดงให้ถึงวิสัยทัศน์ในการปลุกเร้าให้ชาวสิงคโปร์ที่มีทั้งคนจีน คนมาเลย์ และ คนอินเดีย ซึ่งแตกต่างกันทางเชื้อชาติ ความเชื่อศาสนา และวัฒนธรรมประเพณี ต้องอยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันและต้องร่วมกันสร้างประเทศสิงคโปร์ให้เป็นเมืองมหานครให้ได้
          เมื่อแรกเริ่มตั้งประเทศสิงคโปร์ การปลดแอกจากการเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ทำให้อังกฤษถอนฐานทัพเรือออกจากเกาะสิงคโปร์ในปี 1971 ทำให้ชาวสิงคโปร์ตกงานถึง 40,000 คน อัตราคนว่างงานสูงถึง 10 % ประเทศสิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่นำมาใช้ทำมาหากินได้ วิธีแก้ปัญหาของรัฐบาลภายใต้การนำของ ลี กวน ยู คือ การเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศสิงคโปร์ โดยการอำนวยความสะดวกในการลงทุนให้นักลงทุนนานาชาติ เพื่อทำให้ประชาชนมีงานทำก่อน ซึ่งได้รับผลสำเร็จภายในเวลาไม่กี่ปี อัตราคนว่างงานลดลงเหลือ 3% และอัตราการเจริญเติบโตของประเทศเฉลี่ย 10% ทุกปี ความท้าทายในเวลานั้นคือการสร้างแรงจูงใจให้คนงานสิงคโปร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีความขยันขันแข็ง พัฒนาฝีมือแรงงานให้มีคุณภาพ รัฐบาลทำงานร่วมกับสหภาพแรงงานอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศ
"We have met our people’s basic needs, we have to meet the rising aspirations of Singaporeans… Home ownership motivates Singaporeans to work hard and to aspire for a better future for their family, to upgrade to better and bigger flats. The HDB story reflects the social mobility of Singaporeans. ”
– At the launch of Tanjong Pagar Town Council’s Five-year Masterplan and opening of ABC Waters on 22 March 2011.

“เราได้ทำให้คนสิงคโปร์มีปัจจัยความต้องการพื้นฐาน เราต้องตอบสนองแรงบันดาลใจชาวสิงคโปร์ที่พุ่งสูงขึ้น การที่ได้เป็นเจ้าของบ้านจะจูงใจให้คนสิงคโปร์ทำงานหนัก และมีแรงบันดาลใจสำหรับอนาคตที่ดีกว่าของครอบครัว โดยยกระดับที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น เป็นแฟลตที่ใหญ่ขึ้น เรื่องราวของ HDB ( the Housing and Development Board) สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสังคมชาวสิงคโปร์”
ลี กวน ยู จับประเด็นความต้องการของชาวสิงคโปร์ในเวลานั้นได้ถูกต้อง ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีสภาพดีกว่าเดิม เนื่องจากประเทศสิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆมีพื้นที่น้อย ที่ดินมีราคาแพง ประชาชนไม่สามารถหาเงินมาซื้อที่ดินสร้างบ้านได้ ประชาชนอยู่กันอย่างแออัดในสลัมหลายชุมชน รัฐบาลจึงตั้งคณะกรรมการเคหะและการพัฒนา (HDB) เพื่อลงทุนสร้างแฟลตให้ประชาชนผ่อนส่งระยะยาว ทำให้คนสิงคโปร์ไม่ต้องมีความวิตกกังวลเรื่องที่อยู่อาศัย จะได้มุ่งหน้าทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การวางพื้นฐานโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างเป็นระบบให้แก่ประชาชนของนาย ลี กวน ยู ทำให้วันนี้ ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศอันดับต้นๆของโลกที่ประชาชนมีที่อยู่อาศัยของตัวเองสูงถึง 90%
"Even in the sixties, when the Government had to grapple with grave problems of unemployment, lack of housing, health and education, I pushed for the planting of trees and shrubs. I have always believed that a blighted urban jungle of concrete destroys the human spirit. We need the greenery of nature to lift up our spirits.”
– At the launch of the National Orchid Garden, 20 October 1995

“แม้ในช่วงทศวรรษที่ 60 เมื่อรัฐบาลต้องปลุกปล้ำกับปัญหาสาหัสเรื่องการว่างงาน การไม่มีบ้านอยู่อาศัย ปัญหาสาธารณสุขและการศึกษา แต่ผมผลักดันให้มีการปลูกต้นไม้และสวนป่า ผมมีความเชื่ออยู่เสมอว่า การมีป่าคอนกรีตในเมืองเป็นการทำลายจิตวิญญาณมนุษย์ เราต้องการความเขียวชะอุ่มของธรรมชาติมายกระดับจิตวิญญาณของเรา”
เพราะการให้ความสำคัญเรื่องการปลูกต้นไม้ของผู้นำประเทศ ลี กวน ยู ทำให้วันนี้ ประเทศสิงคโปร์กลายเป็นเมืองในสวน “City in a Garden” มีต้นจามจุรีปลูกอยู่เต็มเมือง มีสวนสาธารณะที่สวยงามได้รับการตกแต่งดูแลอย่างดี ตั้งแต่สนามบินไปจนถึงย่านธุรกิจการค้า แหล่งท่องเที่ยวหรือที่อยู่อาศัย ทุกถนน ทุกทางแยก ทุกแห่งร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ปลูกอย่างเป็นระเบียบ ผิดกับประเทศไทย มีป่าไม้ตามธรรมชาติอยู่ทั่วประเทศ แต่ถูกคนเห็นแก่ตัวตัดต้นไม้ทิ้ง จนกลายเป็นเขาหัวโล้น ทำรีสอร์ท ทำไร่ ทำสวน และเผารุกล้ำป่าจนควันท่วมท้องฟ้าภาคเหนือ
เพราะ ลี กวน ยู เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษ เขาจึงให้ความสำคัญเรื่องการศึกษามาก เพราะเห็นอนาคตของประเทศสิงคโปร์จะก้าวหน้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ต้องสร้างคนให้มีความรู้ พูดได้หลายภาษา ทั้งจีน อินเดีย มาเลย์ และภาษาอังกฤษ เพื่อทำให้คนสิงคโปร์ได้รับโอกาสเท่าเทียมกันที่ ลี กวน ยู เรียกว่า “meritocracy” หรือคุณธรรมธิปไตย ใครมีความรู้มีความสามารถ ก็มีโอกาสที่จะสร้างตัวได้ มีงานทำ สร้างธุรกิจได้ไม่ต้องอาศัยเส้นสาย อิทธิพลฝาก ไม่ต้องเสียค่าหัวคิว จ่ายเงินใต้โต๊ะให้ใคร และ ลี กวน ยู ได้ทำการปฏิรูปการศึกษาของประเทศอย่างจริงจัง จากระบบที่รับช่วงต่อมาจากอังกฤษ ทำให้วันนี้ มหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์ติดอันดับโลกไปแล้ว และเด็กนักเรียนสิงคโปร์ทำข้อสอบติดอันดับต้นๆของโลกมาโดยตลอด
เรื่องน้ำจืดเป็นปัญหาระดับชาติของสิงคโปร์ เพราะเป็นประเทศที่มีแหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ต้องซื้อน้ำจืดจากประเทศมาเลเซีย กลายเป็นปัญหาความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ นายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู วางแผนระยะยาวในการทำให้สิงคโปร์มีน้ำจืดใช้อย่างยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ ประปาสี่ก๊อก “Four Taps” strategy คือทำการขยายแม่น้ำคูคลองให้กว้างสะอาดเพื่อรองรับน้ำฝนและกักเก็บน้ำ เอาน้ำทิ้งจากบ้านเรือนที่ไหลลงบ่อบำบัดน้ำเสียแล้วบำบัดน้ำเสียให้กลับมาเป็นน้ำดี นำกลับมาบริโภคและใช้ใหม่ได้ ทำโรงงานกลั่นน้ำเค็มจากทะเลให้กลายเป็นน้ำจืด และสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อซื้อน้ำจืดมาบริโภค จากประเทศที่มีจุดอ่อนเรื่องน้ำ ทุกวันนี้ประเทศต่างๆต้องไปดูงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพที่ประเทศสิงคโปร์
"If you who are growing up do not understand that you have to defend this, then in the end, we will lose. Other people will come, smack you down and take it over. And therefore we have decided, after very careful consideration – one-and-a-half years of careful consideration – that every boy and every girl will learn what it is necessary to defend this country.”
– At a Conferment Ceremony of the Public Service Star Awards at Toa Payoh Community Centre on 21 February 1967.

“ถ้าคุณเติบโตขึ้นและไม่เข้าใจว่าคุณจะต้องป้องกันประเทศนี้ ในที่สุดเราจะสูญเสีย คนอื่นจะเข้ามา กระทืบคุณลง และยึดครอง ด้วยเหตุนี้เราได้ตัดสินใจ หลังจากที่ได้พิจารณาอย่างรอบครอบแล้ว เยาวชนชายและหญิงทุกคน ต้องใช้เวลาหนึ่งปีครึ่งเรียนรู้สิ่งที่จำเป็นต่อการป้องกันประเทศ”
ความรับผิดชอบต่อการป้องกันประเทศเป็นคุณค่าที่นายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู สอนเยาวชนของสิงคโปร์ให้รู้จักการป้องกันบ้านเกิดเมืองนอน และรักษาประเทศชาติ เยาวชนทั้งหญิงและชายทุกคนต้องเรียนวิชาการป้องกันประเทศ ไม่มีการจับใบแดง ใบดำ ไม่มีการยกเว้นคนสองเพศ ไม่ว่าเพศไหนก็ต้องเรียนรู้และมีหน้าที่ป้องกันประเทศของตน
"Friendship, in international relations, is not a function of goodwill or personal affection. We must make ourselves relevant so that other countries have an interest in our continued survival and prosperity as a sovereign and independent nation.”
– At the S. Rajaratnam Lecture at Shangri-La Hotel, 9 April 2009.

มิตรภาพ ในความสัมพันธภาพกับนานาชาติ ไม่ใช่เป็นผลจากการมีความปรารถนาดี หรือความเสน่หาส่วนบุคคล เราจะต้องทำตัวเราให้มีความเหมาะสมเพื่อทำให้ประเทศอื่นๆเขามีความสนใจในประเทศเรา เพื่อที่เราจะสามารถอยู่รอด และมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง มีอิสรภาพและอธิปไตยของชาติ
ลี กวน ยู สอนคนในชาติให้สร้างชาติให้มีคุณค่าที่นานาชาติสนใจ คือสร้างคนให้มีคุณภาพ มีการศึกษา สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม สร้างระบบส่งเสริมการลงทุนของคนต่างชาติ สร้างวัฒนธรรมความโปร่งใสไร้คอรัปชั่น สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน สร้างระบบภาษีที่จูงใจ สร้างประสิทธิภาพในระบบราชการที่รวดเร็วเต็มใจให้บริการ สร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี สร้างระบบการเงินที่ครบวงจร และ สร้างสิ่งข้างเคียงอำนวยความสะดวกอื่นๆ จนสิงคโปร์กลายเป็นประเทศศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกในภูมิภาคนี้ได้สำเร็จ เป็นประเทศพัฒนาแล้ว

"We have made our contributions to the development of Singapore. The time has come for a younger generation to carry Singapore forward in a more difficult and complex situation.”
– Announcing his resignation from Cabinet in a joint statement with Senior Minister Goh Chok Tong on 14 May 2011.

“เราได้ทุ่มเทการพัฒนาให้ประเทศสิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่คนรุ่นหนุ่มกว่าจะนำสิงคโปร์ก้าวไปข้างหน้าในสถานะการณ์ที่ยากและซับซ้อนกว่า”
          นายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู รู้เวลาที่ต้องลงจากตำแหน่งผู้นำ เพื่อส่งต่ออำนาจให้คนรุ่นต่อไปนำประเทศก้าวไปข้างหน้า เพราะโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่บริบทใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยี และความรวดเร็ว ซึ่งคนรุ่นเขาไม่เหมาะสมที่จะรับมือแล้ว เพื่อให้ประเทศสิงคโปร์มีโอกาสปรับวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของประเทศใหม่ เขาจึงตัดสินใจเดินลงจากตำแหน่งอย่างสง่างามในเวลาที่เหมาะสม

ขอปิดท้ายด้วยคำพูดกินใจประโยคนี้ของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสิงคโปร์

"This is my country. This is my life. This is my people... We dug our toes in, we built a nation“
– Interview with The Straits Times, 21 Aug 1989.

“นี่คือประเทศของผม นี่คือชีวิตของผม นี่คือประชาชนของผม เราจิกนิ้วเท้าของเราลงพื้น ทุ่มเททำงาน เราสร้างชาติ”

ขอสดุดีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีก่อตั้งสิงคโปร์

Salute Lee Kuan Yew !

 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเป็นเพื่อนทางความคิด และ

ขอบคุณที่ช่วยแนะนำให้เพื่อนรู้จัก


สมชัย ศิริสุจินต์

 

แหล่งข้อมูล: Website รัฐบาลสิงคโปร์