วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

ทิศทางอนาคตมหาวิทยาลัย


 Love wisdom, and she will make you great. Embrace her, and she will bring you honor. She will be your crowning glory."                                 Proverbs 4:8-9

ได้รับรายงานการศึกษาของ Ernst & Young ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาขนาดใหญ่ที่ให้บริการทั่วโลก เรื่องทิศทางในอนาคตของสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของประเทศออสเตรเลียจากเพื่อนทาง internet อ่านแล้วรู้สึกว่าผลการศึกษาและข้อเสนอแนะที่นำเสนอ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านทั้งที่อยู่ในแวดวงการศึกษาและในภาคธุรกิจอื่นๆได้รับรู้เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการคิดต่อไปในอนาคต เนื่องจากได้เขียนเรื่องนโยบายในการเตรียมนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของนายกรัฐมนตรีประเทศออสเตรเลียไปแล้ว เรื่องในวันนี้จึงต่อเนื่องกันได้พอดี
บริษัท Ernst & Young ทำการศึกษาเรื่องนี้เพราะต้องการจะรู้ว่าบทบาทของมหาวิทยาลัย ในประเทศออสเตรเลีย ต่อสังคมจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรในอนาคต 10-15 ปีข้างหน้า ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักการศึกษา และผู้กำหนดนโยบายการศึกษาขั้นอุดมศึกษาของประเทศออสเตรเลียจะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของโลกในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยจะบริหารจัดการอย่างไรในอนาคต โครงสร้างทางเศรษฐกิจและคุณค่า (Economic structure and value) ของมหาวิทยาลัยควรจะเป็นอย่างไร เมื่อโครงสร้างตลาดการศึกษาเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากจะทำการศึกษาข้อมูลจากทั้งแหล่งปฐมภูมิ และทุติยภูมิ แล้ว คณะผู้ศึกษาได้ทำการสัมภาษณ์ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐบาล และเอกชน ไม่น้อยกว่า 40 คน จากมากกว่า 20 มหาวิทยาลัย โดยได้สัมภาษณ์ผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับอธิการบดี (Vice- Chancellor) ถึง 15 คน
ผลการศึกษาสรุปได้ว่า มหาวิทยาลัยในประเทศออสเตรเลียต้องเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีแรงขับเคลื่อน (Drivers of change) หลัก 5 ประการคือ
1.           Democratization of knowledge and access เสรีภาพทางความรู้และการเข้าถึงแหล่งความรู้ ในปัจจุบันและอนาคตกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพราะการศึกษาในระบบ online ทำได้ง่ายมากขึ้นและไม่แพงอย่างในอดีต ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถขยายการให้บริการทางวิชาการความรู้ได้อย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา โดยเห็นได้จากการเติบโตของตลาดนักศึกษา ทั้งในอาเซียน อัฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และ ลาตินอเมริกา ที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวจากการให้บริการการศึกษาในระบบเดิมที่อาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และดำรงสถานะเป็นผู้รู้ และเก็บความรู้ไว้ (Originators and keepers of knowledge) แต่ในอนาคต ความรู้เป็นตลาดวิชาการที่เปิดกว้างให้กับทุกคนที่มีเครื่องมือและสามารถเชื่อมต่อ (Device and connectivity) ได้ คนสามารถเข้าถึงแหล่งวิชาความรู้ได้มากขึ้น และง่ายขึ้น

2.           Contestability of markets and funding การแข่งขันแย่งชิงนักศึกษาและแหล่งทุนสนับสนุน ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยต้องออกตลาดจัดนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศเพื่อหานักศึกษามาเรียนให้ได้ตามเป้าหมายกันอยู่แล้วในขณะที่เงินสนับสนุนจากงบประมาณที่รัฐบาลให้กับมหาวิทยาลัยนับวันจะลดน้อยลงเพราะเศรษฐกิจของประเทศมีปัญหา มหาวิทยาลัยจึงต้องวิ่งหาแหล่งเงินใหม่

3.           Digital technologies เทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้มหาวิทยาลัยสามารถเปิดให้บริการการศึกษาทางไกลแบบ online ที่มีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนครั้งละมากๆ (Massive Open Online Course) วิธีการศึกษาทางไกลรูปแบบใหม่นี้ได้รับการตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆเป็นผลให้มหาวิทยาลัยต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้นักศึกษาและอาจารย์ผู้สอนสามารถใช้สื่อดิจิตอลมากขึ้นทั้งในพื้นที่วิทยาเขตมหาวิทยาลัย และนอกเขตพื้นที่มหาวิทยาลัยเพื่อตอบสนองความต้องการของนักศึกษาในตลาดใหม่ๆที่มีความสนใจและความต้องการในการศึกษาหาความรู้ที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งบริษัทอุตสาหกรรมต่างๆมีแนวโน้มสนใจที่จ้างคนที่มีความรู้จริงๆเฉพาะสาขาวิชามากขึ้น

4.           Global mobility การเคลื่อนที่อย่างอิสระมากขึ้นในยุคโลกาภิวัฒน์ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถขยายพื้นที่ให้บริการไปได้ทั่วโลก เป็นผลให้ตลาดนักศึกษากว้างขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) เช่น ประเทศจีน อินเดีย บราซิล ทำให้มหาวิทยาลัยมีโอกาสได้นักศึกษาที่มีความสามารถทางการศึกษา (Academic talents) จากประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยมีโอกาสขาย Brand ของมหาวิทยาลัยโดยร่วมให้บริการการศึกษากับมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น ในเวลาเดียวกันมหาวิทยาลัยท้องถิ่นในบางประเทศก็เริ่มรวมตัวกันในการพัฒนาคุณภาพมหาวิทยาลัยในประเทศ เพื่อแข่งขันกับมหาวิทยาลัยนานาชาติที่บุกเข้ามาขยายวิทยาเขตในประเทศของตน

5.           Integration with industry การร่วมมือกับอุตสาหกรรมเป็นนิมิตใหม่ที่มหาวิทยาลัยต้องจับมือกับอุตสาหกรรมสาขาต่างๆในการผลิตนักศึกษาตามความต้องการของอุตสาหกรรม และทำการวิจัยพัฒนาร่วมกันเพื่อหานวัตกรรมใหม่ๆ โดยบริษัทให้เงินสนับสนุนการวิจัย ผลจากการวิจัยบริษัทนำไปพัฒนาเป็นนวัตกรรมใหม่ในเชิงพาณิชย์ มหาวิทยาลัยได้รับค่าสิทธิบัตรตอบแทนจากนวัตกรรม หรือร่วมทุน (Joint venture) กับบริษัทในการทำธุรกิจ มหาวิทยาลัยจึงต้องเรียนรู้ร่วมกับอุตสาหกรรมมากขึ้น มีปรากฏการณ์ความร่วมมือที่น่าสนใจเกิดขึ้นในยุโรปเช่นโครงการ InnoEnergy ที่ก่อตั้งในปี 2010 โดยการร่วมมือของ บริษัทอุตสาหกรรม สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยธุรกิจ ในยุโรปร่วมกันถึง 29 สถาบัน เพื่อเป็นหุ้นส่วนกันโดยตั้งเป้าหมายร่วมกันว่า ภายใน 5 ปีจะผลิตบัณฑิตระดับ Post graduate ทางด้านนวัตกรรมพลังงานจำนวน 3,300 คน จะจดทะเบียนสิทธิบัตร(Patents)นวัตกรรมใหม่ 80 เรื่อง จะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ (New products) 100 ผลิตภัณฑ์ จะตั้งบริษัทใหม่ 60 บริษัท และจะใช้งบประมาณทั้งหมดถึง 700 ล้านยูโร

นี่คือทิศทางของการเปลี่ยนแปลงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่กำลังเกิดขึ้นและทำให้ผู้บริหารสถาบันการศึกษาของประเทศออสเตรเลียต้องคิดปรับตัวกันขนานใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกล่าวว่า “Universities face their biggest challenge in 800 years” มหาวิทยาลัยกำลังพบความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน 800 ปี ผู้บริหารมหาวิทยาลัยอีกท่านหนึ่งกล่าวว่า “We’re not businesses but we need to be run in business like way” เราไม่ใช่ธุรกิจ แต่เราจำเป็นต้องดำเนินกิจการแบบธุรกิจ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยอีกท่านหนึ่งกล่าวว่า “Our major competitor in ten years time will be Google if we’re still alive.คู่แข่งขันหลักของเราในสิบปีข้างหน้านี้คือ Google ถ้าเรายังมีชีวิตรอดอยู่

สิ่งที่ท้าทายมหาวิทยาลัยในอนาคต (The future challenges) คือ

·      Quality and academic excellence
การแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในการให้บริการการศึกษาทำให้มหาวิทยาลัยที่จะยืนอยู่รอดในระยะยาวคือมหาวิทยาลัยที่มีความเป็นเลิศในด้านคุณภาพการเรียนการสอน และความเป็นเลิศในงานวิจัย มหาวิทยาลัยจะต้องจัดดุลยภาพของการรักษาคุณภาพกับต้นทุนการบริหารจัดการอย่างไรถึงจะอยู่รอดได้

·      Academic talent and work force structure
มหาวิทยาลัยที่มีคณาจารย์ผู้สอนและผู้วิจัยที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปเป็นจำนวนมากต้องหาอาจารย์รุ่นใหม่เข้ามาทดแทนอาจารย์รุ่นเก่าที่กำลังจะเกษียณอายุการทำงาน อาจารย์รุ่นใหม่ที่ต้องสรรหาจะเป็นอาจารย์สายพันธุ์ใหม่ที่มีแนวคิดใหม่ และมีความรู้ในสาขาวิชาใหม่ๆมาสอนและวิจัยเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ การสรรหาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถสายพันธุ์ใหม่ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายในตลาดที่มีการแข่งขันสูงในเวลานี้
·      Commercial skills
เพราะการแข่งขันในตลาดการศึกษาเข้มข้นมากขึ้น มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องปรับตัวให้มีทักษะเชิงพาณิชย์มากขึ้น ทั้งในด้านการตลาด การบริหารจัดการ การเพิ่มผลผลิต การลดต้นทุน การใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยี การสร้างคุณค่า การสร้าง Brand และเรื่องอื่นๆ เพื่อความอยู่รอดของมหาวิทยาลัย จึงเป็นงานหนักที่ท้าทายผู้บริหาร
·      Change management and speed to market

มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระบบในการบริหารจัดการให้สามารถแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว ประเด็นที่จะเป็นปัญหามากที่สุดของมหาวิทยาลัยคือวัฒนธรรมองค์กรของมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างจะไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะธรรมชาติของนักวิชาการมีความต้องการความอิสระในวิชาการสูง ยึดติดกับศักดิ์ศรีของสถาบัน มีความเป็นส่วนตัว ต้องการเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด ความยากอยู่ตรงที่มหาวิทยาลัยจะปรับตัวได้ทันต่อความเร็วของการเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือไม่?
·      Relationship with government

มหาวิทยาลัยของรัฐคงต้องรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลและนักการเมืองเพื่อเงินงบประมาณสนับสนุนที่นับวันจะมีให้น้อยลงเรื่อยๆ รูปแบบการขอเงินสนับสนุนรัฐบาลคงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะอื่นๆตามนโยบายของรัฐบาลและภาวะเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยทั้งของรัฐหรือเอกชนต้องแสวงหาแหล่งทุนอื่นๆจากหน่วยงานเอกชน มูลนิธิ องค์การการกุศล มาสนับสนุนแทน

            ที่นำเรื่องนี้มานำเสนอ ไม่ได้หวังผลเฉพาะให้เกิดความตระหนักในแวดวงนักการศึกษาของไทยเท่านั้น แต่อยากให้ผู้อ่านไม่ว่าจะอยู่ในภาคส่วนใดของธุรกิจการค้า อุตสาหกรรม หรืองานบริการทั้งภาครัฐและเอกชน ได้นำผลการศึกษานี้ไปคิดในบริบทที่เกี่ยวข้องกับกิจการของตน เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่เกิดขึ้น จะช้าหรือเร็วย่อมมีผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของธุรกิจที่เกี่ยวข้องอยู่ ไม่มากก็น้อย เนื่องจากการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

            Aristotle กล่าวว่า “The roots of education are bitter, but the fruit is sweet.” รากของการศึกษานั้นขม แต่ผลของมันหวาน

            ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคำกล่าวนี้จะเป็นจริงในสังคมไทยหรือเปล่า?



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น