Thailand 4.0 ตอนที่ 2
“Being lazy will make you poor, but hard work will make you rich.” Proverbs 10:4
การจะเป็น Thailand 4.0 ได้นั้น ต้องใช้เวลาทำให้คนไทยทั้งชาติมีความเข้าใจก่อน เป็นสร้างการยอมรับ แล้วความร่วมมือจะตามมา เพราะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลง (Transformation process) ครั้งสำคัญของประเทศไทย ที่ประชาชนชาวไทยต้องรู้ เข้าใจ และ ช่วยกันขับเคลื่อนให้ประเทศเดินไปสู่เป้าหมายใหม่ เนื่องจากกระบวนการ เปลี่ยนแปลงนี้ประชาชนคนไทยเป็นผู้ทำการเปลี่ยนแปลง และประชาชนคนไทย คือ ผู้ถูกเปลี่ยนแปลงด้วย คือเป็นการเปลี่ยนแปลงของประชาชนด้วยตัวประชาชนเอง รัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจกฏหมายมาเปลี่ยนแปลงประชาชน หรือลงทุนทำการเปลี่ยนแปลงโดยระบบราชการ แต่รัฐบาลจะต้องนำการเปลี่ยนแปลงโดยการผลักดัน สนับสนุน และอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจเอกชน และ ประชาชน เป็นผู้กระทำการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสามฝ่าย คือ รัฐบาล ภาคเอกชน และ ประชาชน (Public-Private-People) เพื่อให้เกิดพลังขับเคลื่อน ซึ่งรัฐบาลเรียกความร่วมมือกันนี้ว่า “รวมพลังประชารัฐ”
เวลา 50 ปีที่ผ่านมาจนถึงเวลาในขณะนี้ ประเทศไทยพัฒนาประเทศโดยใช้ทรัพยากรมนุษย์เป็นพื้นฐานสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ เราใช้ความได้เปรียบที่ประเทศไทยมีระบบการศึกษาที่สามารถผลิตคนออกมาสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามีระบบโครงสร้างพื้นฐานประเทศ เช่น ระบบเครือข่ายถนน รถไฟที่เชื่อมโยงได้ทั่วทุกภาคในประเทศ เรามีกระแสไฟฟ้าให้ใช้ได้ทั่วถึงเกือบทุกหมู่บ้านในประเทศ เรามีระบบโทรคมนาคมที่เชื่อมต่อกันได้ทั่วประเทศ เรามีระบบการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานสากล และ เราใช้ความได้เปรียบที่เรามีทำเลที่ตั้งประเทศเป็นสุวรรณภูมิ ที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV คือ ประเทศ กัมพูชา ลาว เมียร์มา และเวียตนาม ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยเจริญเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด เราสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศโดยใช้ทรัพยากรมนุษย์เป็นหลัก ( People for Growth)
แต่ความได้เปรียบของประเทศไทยเริ่มหมดไป เพราะทั้ง 4 ประเทศที่เราเรียกว่า CLMV นี้ กำลังพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเวียตนาม ความได้เปรียบของประเทศไทยด้านต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ประเทศ CLMV ทั้ง 4 ประเทศกำลังพัฒนาใหม่หมด และโครงสร้างพื้นฐานบางอย่างของประเทศ CLMV ที่ลงทุนใหม่ในเวลานี้ อาจจะทันสมัยกว่าของประเทศไทยด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งระบบการศึกษาของทั้ง 4 ประเทศที่เน้นความเป็นนานาชาติมากกว่าประเทศไทย
ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นต้องปรับกระบวนทัศน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศใหม่ คือใช้การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยยังได้เปรียบกว่าประเทศ CLMV ในเวลานี้ เป็นพื้นฐานการขับเคลื่อนสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวรอบใหม่ โดยใช้ความเติบโตของเศรษฐกิจปัจจุบันสร้างศักยภาพของประชาชน (Growth for People) เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น นั่นคือรัฐบาลต้องสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อ (Conducive environment) ต่อการให้ประชาชนได้เรียนรู้พัฒนาตนเองให้มีความรู้ใหม่ มีทักษะใหม่ มีศักยภาพใหม่ ทำให้ประชาชนมีคุณภาพและศักยภาพในระดับที่สูงขึ้น เพื่อสามารถสร้างงานใหม่และทำงานใหม่ที่มีคุณค่าสูงขึ้น ซึ่งจะสร้าง มูลค่าสินค้าผลิตภัณฑ์และงานบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น เป็นการยกระดับทำให้เศรษฐกิจประเทศอยู่บนพื้นฐานมูลค่าสูง (High valued-based economy) หรือเป็นการทำน้อย เพื่อให้ได้มาก (Less for more) นั่นเอง
ถ้าประชาชนไทยรุ่นใหม่ Thailand 4.0 เป็นคนทำงานที่มีความรู้ เป็น Knowledge workers เป็นคนไทยที่มีทักษะระดับสูง High skilled workers ประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนทิศทาง (Shift) การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศใหม่ได้คือ
ด้านการเกษตร เปลี่ยนจากการเกษตรแบบปลูกแล้วขาย ถ้าขายไม่ได้ ก็ปิดถนน กดดันให้รัฐบาลซื้อ หรือ ให้เงินชดเชยที่เป็นวงจรในปัจจุบัน ไปเป็นการเกษตรที่มีมูลค่าสูงขึ้น คือแปรรูปพืชผลการเกษตรให้เป็นสินค้าที่มีราคาสูง เป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มมูลค่า (Bio-technology) ตัวอย่างที่เกิดผลแล้ว คือการใช้ผลลำใยไปทำเป็นครีมสารสกัดลำใย ลองกานอยด์ (Loganoid) ซึ่งขายได้มูลค่าสูงกว่าการขายผลลำใยสดเป็นร้อยเท่า
ด้านอุตสาหกรรม เปลี่ยนจากการรับจ้างทำของขาย (Original Equipment Manufacturer) ที่ผลิตสินค้าเน้นปริมาณจำนวนมากๆขายโดยได้กำไรต่อชิ้นต่อหน่วยเพียงไม่กี่บาท พอค่าเงินบาทแข็งสินค้าราคาแพงขึ้นก็ขายไม่ได้ เพราะผู้ซื้อหันไปซื้อจากประเทศที่สินค้าราคาถูกกว่า ไปเป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทอลเข้ามาเพิ่มมูลค่าสินค้า เป็นสินค้าจำพวกอุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart devices) ที่เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในชีวิตรุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีสมองกลคอมพิวเตอร์ฝังไว้ในอุปกรณ์ (Embeded technology) สร้างหุ่นยนต์อัจฉริยะ (Robots) ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และผลิตเครื่องจักรอุปกรณ์ที่เป็นอิเลกทรอนิกส์ (Mechatronics) เพื่อใช้เองและขายได้ราคาสูงขึ้น
ด้านเทคโนโลยี เน้นการตอบสนองโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคอินเตอร์เนตในทุกสิ่ง (Internet of things) อินเตอร์เนตเข้ามามีส่วนในชีวิตตั้งแต่ในบ้าน ในที่ทำงาน และในพื้นที่สาธารณะในเมือง จึงต้องใช้ประโยชน์จากพลังเครือข่ายอินเตอร์เนตให้มากที่สุด คือการเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในชีวิตและการทำธุรกิจ พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้บริหารจัดการกิจกรรมต่างๆ ใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงเครือข่ายอินเตอร์เนตให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจมากขึ้น
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ประเทศไทยมีความได้เปรียบที่มีพื้นฐานการแพทย์และการสาธารณสุขที่ดีกว่าหลายๆประเทศจนคนต่างชาตินิยมเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยปีละเกินกว่าล้านคน ซึ่งสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล ยิ่งถ้าเราเพิ่มเทคโนโลยีให้สามารถรักษาโรคที่ซับซ้อนได้โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-technology ) เข้ามารักษาโรคและฟื้นฟูสภาพร่างกายได้ เราจะได้มูลค่าจากการให้บริการทางการแพทย์อย่างมหาศาล รวมทั้งการให้บริการเสริมอื่นๆในกลุ่มสุขภาพที่ดี (Wellness) เช่นการตรวจสุขภาพ การตรวจรักษาฟัน ซึ่งปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมจากคนต่างชาติมากขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่างถูกกว่าที่ใช้บริการในประเทศของเขามาก รวมทั้งการพัฒนาสร้างเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์เพื่อใช้เองช่วยลดรายจ่ายในการซื้อจากต่างประเทศ และสามารถขายเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ให้ประเทศเพื่อนบ้าน
ด้านธุรกิจบริการ คนไทยเรามีจุดเด่นในด้านงานบริการ (Hospitality) อยู่แล้ว เมื่อเสริมเรื่องความคิดสร้างสรรค์(Creativity) สร้างเรื่องราว เพิ่มเนื้อหา ปรับรูปลักษณ์ เน้นอัตลักษณ์ มีความเป็นไทย และ สะท้อนความหลากหลายของประเพณีวัฒนธรรมไทย (Cultural diversity) เข้าไปในธุรกิจบริการ เช่น การท่องเที่ยว สร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวประเทศไทยให้มีความน่าสนใจมากขึ้นกว่าปัจจุบัน มีคุณภาพสูงขึ้น มีมูลค่ามากขึ้น เพราะเราสามารถทำให้สินค้าอาหาร สินค้าของท้องถิ่น มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากขึ้นได้ นำภูมิปัญญาเรื่องการนวดและสปา สมุนไพร เสื้อผ้า เครื่องประดับ งานศิลปะ ดนตรี กีฬา มาใช้ ซึ่งทุกอย่างล้วนสามารถสร้างรายได้ให้ท้องถิ่นได้อย่างมากมาย
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจะสร้างความสมดุลย์ทางรายได้ให้ประเทศ ทำให้เราไม่ต้องพึ่งพารายได้การส่งออกมากจนเกินไป และสามารถลดการสั่งซื้อนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลง ทำให้เราพึ่งตนเองได้มากขึ้น ซึ่งเป็นความมั่นคงระยะยาว
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ประชาชนคนไทยในยุค Thailand 4.0 ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่หมด คือต้องตั้งกระบวนทัศน์ใหม่เลย ระบบความคิดในการศึกษาแบบเดิมต้องเปลี่ยนใหม่ให้ตอบสนองต่อพลวัตรการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21
- จากการเรียนในห้องเรียนแบบท่องจำแล้วสอบว่าจำได้เก่งแค่ไหนตามมาตรฐานการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้เด็กทุกคนต้องเรียนเหมือนกันหมด ไม่ว่าเด็กจะอยากเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นนักธุรกิจ เป็นนักแสดง เป็นนักดนตรี เปลี่ยนเป็นการเรียนแบบมีเป้าประสงค์เฉพาะคน (Purposeful personalized learning) ตามอาชีพที่เด็กอยากเป็น ตามความรักความชอบ (Passion) ความไฝ่ฝันของเด็ก คือเรียนอย่างมีเป้าหมายตามความอยากรู้ ความชอบ ความรักหลงไหล
- จากการเรียนแบบครูว่านักเรียนฟัง (Passive learning) เด็กไม่มีบทบาทในการเรียนรู้ เปลี่ยนเป็นการเรียนแบบนักเรียนมีบทบาทในการเรียนรู้ (Active learning) เด็กอยากเรียนรู้อะไร เด็กต้องแสวงหาความรู้นั้น โดยมีโรงเรียนและ ครูผู้สอนเป็นผู้อำนวยความรู้ (Knowledge facilitators) ให้นักเรียนเรียนรู้
- จากการเรียนแบบเอาข้อมูลข้อเท็จจริง (Fact based learning) ในตำรามาบอกให้นักเรียนรู้และจดจำ เปลี่ยนเป็นการเรียนแบบให้นักเรียนรู้จักคิด (Idea based learning) เพื่อสร้างการคิดเป็น วางแผนเป็น แก้ปัญหาเป็น มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักสร้างนวัตกรรม ให้แก่นักเรียน
- จากการเรียนแบบแข่งขันเอาคะแนน (Competitive based learning) เป็นตัววัดความสำเร็จของแต่ละคน ต่างคนต่างเรียนเพื่อเอาชนะกัน (Individual based learning) ซึ่งสอนให้คนต้องเอาชนะคนอื่น เอาเปรียบคนอื่น จนถึงขั้นต้องโกงคนอื่น เปลี่ยนเป็นการเรียนแบบนักเรียนช่วยกันคิดช่วยกันทำและเรียนรู้ร่วมกัน เป็นการเรียนแบบแบ่งปัน (Sharing based learning) เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เวลาทำงานทำมาหากิน เราไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นถึงจะสำเร็จ รู้จักแบ่งปันพึ่งพาอาศัยกัน ทำงานเป็นทีม
- จากการเรียนบนพื้นฐานรู้แต่ทฤษฏี (Theory based learning) เรียนรู้ทฤษฏี จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ เปลี่ยนเป็นการเรียนเพื่อเอาทฤษฏีไปปฏิบัติ (Theory in practice) ในชีวิตจริง เป็นการเรียนที่เน้นผลลัพท์ (Result based learning) นำทฤษฏีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริง ค้นคว้าทดลอง เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ พัฒนาทฤษฏีมาเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าที่ขายได้
การเปลี่ยนระบบการเรียนรู้ใหม่นี้ เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องยากยิ่งของประเทศไทย เพราะต้องเปลี่ยนความคิดของนักบริหารการศึกษาระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานของข้าราชการในกรมกองและอาจารย์ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการอีกเป็นแสนๆคน ต้องเปลี่ยนความคิดของเจ้าของและผู้บริหารโรงเรียน และมหาวิทยาลัยเอกชน รวมทั้งครูอาจารย์อีกเป็นแสนคนที่ทำงานในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเอกชน และต้องเปลี่ยนทัศนะคติ ความคิดของผู้ปกครองนักเรียนทั้งประเทศอีกหลายล้านคน จึงเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นอย่างยิ่ง เพราะระบบการศึกษาต้องใช้เวลาอย่างต่ำถึง 12 ปี ถึงจะสร้างคนที่มีความคิดและทัศนคติใหม่ได้ ขอเป็นกำลังใจให้ท่านรัฐมนตรีว่าการ และท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในการปฏิรูปกระทรวงศึกษาธิการ
Nelson Mandela กล่าวว่า “Education is the most powerful weapon which you can use to change the world.” การศึกษาคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุดซึ่งคุณสามารถ ใช้ในการเปลี่ยนแปลงโลกได้
Benjamin Franklin กล่าวว่า “An investment in knowledge pays the best interest.” การลงทุนในเรื่องความรู้จ่ายดอกเบี้ยตอบแทนสูงสุด
Malcolm X กล่าวว่า “Education is the passport to the future, for tomorrow belongs to those who prepare for it today.” การศึกษาคือหนังสือเดินทางไปสู่ อนาคต เพราะวันพรุ่งนี้เป็นของคนที่ได้เตรียมตัวเพื่อมันในวันนี้
เข้าร่วมกระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความเข้มแข็งของประเทศไทยด้วยกันนะครับ
ซินเหนียนไคว้เล่อ กงซีฟาไฉ ต้าจี๋ต้าลี่ หลงหม่าจินเสิน
ขอให้มีความสุขวันปีใหม่ ขอให้ร่ำรวย ค้าขายได้กำไร สุขภาพแข็งแรง ครับ
ขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูล: ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ และ ศ.ดร. ศันสนีย์ ไชยโรจน์
และภาพจาก admissionpremium.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น