“The Lord
will curse the evil person’s house, but he will bless the home of those who do
right.” Proverbs 3: 33
Victor
Hugo เคยกล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะมีพลังยิ่งใหญ่เท่าพลังความคิดเมื่อเวลาของเขามาถึง
“There’s
nothing as power as an idea whose time has come.” สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้มีเวลาและจังหวะของมัน
บางครั้งความคิดที่ดีๆแต่นำไปเสนอต่อผิดคน ในสถานที่ไม่เอื้ออำนวย ในเวลาและจังหวะที่ไม่ควรนำเสนอ
คือไม่มีบริบทและกาละที่สนับสนุนการเสนอความคิด ผลก็คือ ความคิดที่ดีนั้นไม่ได้รับความสนใจและคนฟังมองไม่เห็นคุณค่า
แต่เมื่อเวลาและจังหวะของความคิดนั้นมาถึง คนที่เคยได้รับฟังความคิดนี้
จะนึกขึ้นมาได้ เกิดความคิดแวบขึ้นมามองเห็นประโยชน์ของความคิดนี้
แบบดวงตาเพิ่งเห็นธรรม จึงนำความคิดนั้นมาใช้เป็นความคิดของตนเอง
ความคิดของผู้เสนอก็เกิดผล แต่ในหน้าตาและผลประโยชน์ของผู้อื่น
ในยุคที่การแสดงความคิดเห็นมีพลังมหาศาล ผ่านช่องทางสื่อสังคม (Social media) ในเวลานี้ ต้องเข้าใจว่าความคิดเห็นหนึ่งสามารถถ่ายทอดกระจายไปในวงกว้างและเกิดผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว
ผู้แสดงความคิดเห็นควรมีความตระหนักว่า หนึ่งความคิดเห็นที่แสดงออกไปอาจมีผลต่อกระทบเกิดขึ้นในวงกว้างมหาศาลได้
ดังนั้นการแสดงความคิดเห็นทุกครั้ง ควรมีจุดมุ่งหมายให้พลังผลกระทบ (Impact) ที่จะเกิดขึ้นจากความคิดเห็นที่เสนอออกไปเป็นพลังทางสร้างสรร (Creative power) ที่สร้างคุณค่าในสังคม เป็นประโยชน์ต่อผู้รับรู้ความคิดเห็น
และเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ทำให้ชีวิตของผู้อื่นมีความสุขมากขึ้น
Edward Lorenz ตั้งคำถามว่า
Does the flap of a
butterfly’s wing in Brazil set off a tornado in Texas? การขยับปีกของผีเสื้อในประเทศบราซิลจะก่อให้เกิดลมพายุหมุนในรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกาหรือ
มีความหมายว่าสิ่งเล็กๆที่เกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งอาจส่งผลกระทบที่เพิ่มพลังมากขึ้นเรื่อยๆมากกว่าทวีคูณจนเกิดเป็นพลังมหาศาลในที่สุด
ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นรอบตัวเราเช่น
แผ่นดินไหวขนาดเล็กจุดหนึ่งอาจส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่อีกจุดหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
คลื่นสึนามิขนาดเล็กๆที่เกิดขึ้นจุดหนึ่งกลางทะเลอาจกลายเป็นคลื่นขนาดยักษ์โถมเข้าถล่มเมืองทั้งเมืองที่อยู่ห่างไปหลายร้อยกิโลเมตรได้
หิมะที่ถล่มขนาดเล็กๆจุดหนึ่งบนยอดเขาสูงอาจกลายเป็นก้อนภูเขาหิมะกลิ้งลงมาทับหมู่บ้านที่เชิงเขาข้างล่างทั้งหมู่บ้านได้
ความคิดเล็กๆความคิดหนึ่งที่เสนอออกไปจากคนหนึ่งอาจจะเกิดผลกระทบใหญ่หลวงในที่อีกแห่งหนึ่งได้เช่นกัน
ปัญหาของสังคมในเวลานี้คือเรื่องการจัดการกับความไร้ระเบียบหรือความสับสนอลหม่านในสังคม
(Social Chaos) เพราะเวลาในอดีตที่ผ่านมา สังคมเคยตั้งมั่นบนพื้นฐานโครงสร้างทางสังคมที่ค่อนข้างแข็งแรงมั่นคงและมีความเป็นระเบียบ
มีกฏ ข้อบังคับ ประเพณี วัฒนธรรมที่ยึดมั่นถ่ายทอดการปฏิบัติตามกันมาจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นต่อไป
แต่ Stan Davis กล่าวว่า “When the infrastructure shift, everything rumbles.” เมื่อโครงสร้างพื้นฐานเปลี่ยนทุกอย่างส่งเสียงไม่พอใจไม่เป็นสุข
การสื่อสารผ่านสื่อสังคมที่มีความรวดเร็วต่อการการรับรู้ในวงกว้างในเวลานี้ได้ทำให้โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก
กฏ ระเบียบ ประเพณี วัฒนธรรม แบบเดิมที่เคยยึดมั่นและได้รับการถ่ายทอดตามกันมา เริ่มคลอนแคลนไม่ได้รับการตอบสนองจากคนรุ่นใหม่ตามวิถีชีวิตแบบเดิมแล้ว
ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ การปรับตัวเข้าสู่จุดสมดุลของสังคม (Social Fulcrum) จะเป็นแบบใด เพราะถ้าสถานะการณ์ที่เป็นอยู่ในสังคมยังอยู่ห่างไกลจากจุดสมดุลของมัน
ความไม่เป็นระเบียบในสังคมจะยังปะทุเกิดขึ้น และสังคมยังต้องปรับตัวแสวงหาจุดสมดุลของมันต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะลงตัว
ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและสูญเสียทรัพยากรต่างๆอีกมหาศาล และอาจสูญเสียโอกาสที่มีค่าของสังคมไปก็ได้
แต่ถ้าความไร้ระเบียบนั้นอยู่นั้นอยู่ใกล้จุดสมดุลของมันแล้ว
สังคมจะเริ่มมีความเป็นระเบียบมากขึ้น สังคมจะปรับตัวเข้าสู่จุดสมดุลของมันในที่สุด
สังคมจะเกิดความเป็นระเบียบ ความสับสนอลหม่านจะหายไป ความสงบสุขจะกลับคืนมา
แต่อาจจะมีในบางสถานะการณ์ที่สังคมอาจจะกำลังตกอยู่ในจุดที่เป็นทางแพร่งสองทาง (Bifurcation) คือทางหนึ่งเดินไปสู่ความไร้ระเบียบในสังคม และอีกทางหนึ่งเดินไปสู่ความเป็นระเบียบในสังคม
จุดนี้เป็นจุดวิกฤติ (Critical
point) ของสังคมที่คนในสังคมต้องมีความตระหนักรู้
มีความคิดสติปัญญาในการเลือกเดินให้ถูกทาง ถ้าโชคร้ายเลือกเดินผิดทางสังคมจะเกิดความไร้ระเบียบ
เกิดความไม่สงบสุขและนำความเสียหายอย่างไม่อาจนับมูลค่าได้ ดังที่เห็นได้จากเหตุการณ์ความไม่สงบและความไร้ระเบียบที่เกิดขึ้นในบางประเทศที่ยังมีการสู้รบฆ่ากันในเวลานี้
ความไร้ระเบียบในสังคม จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างยากลำบาก เพราะ
1. ไม่มีเสถียรภาพ (Unstable)
ในสังคมที่ไร้ระเบียบไม่มีความเชื่อมั่น
ไม่มีอะไรที่จะรับรองได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดอะไรขึ้น
เพราะคนที่อยู่ในสถานการณ์ไร้ระเบียบต่างไม่มีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน
ทุกคนพยายามเอาตัวรอดก่อน ในสมัยก่อนเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า ไร้ขื่นแป คือไม่มีอะไรให้ผูกจับยึดโยงกันให้เกิดความแข็งแรงมั่นคง
เหมือนไม้ขื่อที่ทำหน้าที่ยืดหัวเสาสองต้นให้ตั้งตรงและไม้แปที่ยึดโยงกับไม้ขื่อเพื่อรองรับโครงสร้างของส่วนหลังคาทั้งหมด
ถ้าไม่มีขื่อและแปยึดโยงกันไว้ บ้านก็ล่ม
2. ไม่สามารถพยากรณ์ได้ (Unpredictable)
สังคมที่ไร้ระเบียบไม่สามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์ได้ว่าจะเป็นไปเช่นใดในอนาคต
เพราะไม่สามารถควบคุมตัวแปรในสังคมที่ไร้ระเบียบได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถบอกได้ว่าออกจากบ้านเช้าวันนี้แล้วจะมีชีวิตได้กลับเข้าบ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่
ตรงกันข้ามกับในสังคมที่มีระเบียบมากๆอย่างประเทศญี่ปุ่นที่สามารถบอกได้ว่ารถเมล์คันไหนจะไปจอดที่ป้ายรถเมล์ใดในเวลากี่โมงกี่นาที
3. ไม่สามารถควบคุมผลกระทบ (Un-controllable effect)
สังคมที่ไร้ระเบียบไม่สามารถควบคุมผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความไร้ระเบียบในสังคมได้
การวางระเบิดหนึ่งลูกที่กลางตลาด หรือการวางเพลิงสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมือง
จะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศ ความเชื่อมั่นในการลงทุน
การทำธุรกิจค้าขายมากขนาดใด ไม่สามารถควบคุมผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
4. ไม่สามารถควบคุมเชิงเส้นตรง (nonlinear control)
สังคมไร้ระเบียบ มีตัวแปรทางสังคมซับซ้อนหลายตัวแปรที่ไม่สามารถกำหนดและควบคุมได้
ทำให้ยากต่อการออกแบบการควบคุม เพราะสถานการณ์มันไม่นิ่งให้เข้าไปจับและควบคุมไว้
แตกต่างจากสังคมที่มีระเบียบที่สามารถวางแผน กำหนดเป้าหมาย กำหนดยุทธศาสตร์ออกแบบควบคุมการใช้ทรัพยากร
การบริหารจัดการ และวัดผลได้
5. เกิดผลมากกว่าการทวีคูณ (Exponential)
สังคมไร้ระเบียบไม่สามารถกำหนดปริมาณการเติบโตหรือการถดถอยของสถานการณ์ในสังคมได้
ดังนั้นจึงไม่สามารถคำนวนผลออกมาในลักษณะการเกิดผลอย่างทวีคูณแบบปกติได้ เช่นเดียวกับการที่เราไม่สามารถคำนวณผลความเสียหายที่เกิดจากพายุหมุนในแผ่นดิน
คลื่นสึนามิกลางมหาสมุทร หรือหิมะถล่มบนภูเขาสูง
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วถ้าท่านรู้สึกงง
และไม่เข้าใจ แสดงว่าท่านเป็นปกติดีครับ เพราะผมเขียนด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกัน
อย่าได้คิดเป็นเรื่องใหญ่ระดับสังคมเลยนะครับ เอาเป็นว่าขอให้ท่านคิดเพียงแค่ตัวท่านเองก่อนว่า
ถ้าชีวิตของท่านเกิดความไม่มีระเบียบในชีวิตขึ้นมา แล้วจะเกิดผลอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของท่าน
และจะมีผลกระทบต่อหน่วยงานที่ท่านทำงานอย่างไรบ้าง
ขอปิดท้ายด้วยคำพูดช่วยให้คิด ที่จะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องความไร้ระเบียบมากขึ้น
Napoleon Bonaparte กล่าวว่า “The battlefield is
a scene of constant chaos. The winner will be the one who controls that chaos,
both his own and the enemies.” สนามรบคือฉากของความอลม่านไร้ระเบียบอยู่เสมอ
ผู้ชนะการรบคือผู้ที่ควบคุมความไร้ระเบียบที่เกิดขึ้น ทั้งฝ่ายตนเอง และฝ่ายศัตรู
Carl Jung กล่าวว่า “In all chaos
there is a cosmos, in all disorder a secret order.” ในความไร้ระเบียบยังมีจักรวาล
(ที่มีระเบียบ) ในความไม่มีระเบียบทั้งมวล ยังมีความเป็นระเบียบซ่อนอยู่
Deepak Chopra กล่าวว่า “In the midst of
movement and chaos, keep stillness inside of you.” ท่ามกลางความเคลื่อนไหวและความสับสนไร้ระเบียบ
จงมีความความสงบนิ่งภายในใจของคุณ
ร้อนๆแบบนี้ ทำใจนิ่งสงบไว้ก่อนนะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมและอ่านตลอดเดือนพฤษภาคม
มากกว่า 1,500 คน ขออภัยที่ไม่ได้เขียนอะไรเพิ่มเติมในเดือนที่ผ่านมาเพราะสมองของผมขอลาหยุดไปจัดระเบียบความคิดทั้งเดือนครับ
สมชัย
ศิริสุจินต์
https://somchaiblessings.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น