วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Change (3)



“The one who loves money will never be satisfied with money, he who loves wealth will never satisfied with his income. This is futile.”            Ecclesiastes5:10

วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องการเปลี่ยนแปลงต่ออีก เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สังคมไทยต้องยอมรับและเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลง เพื่อคนไทยจะได้รีบช่วยกันทำการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ทันเวลา ทันต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยี และ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์รอบด้านที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่รู้จบในสังคมโลกปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลง คือ กระบวนการที่เราต้องการเปลี่ยนสภาพจากสถานะในปัจจุบัน (Current state) ไปสู่สภาพสถานะที่ต้องการในอนาคต (Desired future state) เพราะว่าสภาพสถานะในปัจจุบันที่เราดำรงอยู่ กำลังจะเป็นปัญหา มีความไม่เหมาะสมกับสถานะการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าฝืนอยู่ในสภาพสถานะนี้ต่อไปโดยไม่ทำอะไร อนาคตคงไม่รุ่งแน่ จึงต้องรีบเปลี่ยนแปลงสภาพสถานะที่เป็นอยู่เพื่อหนีความหายนะที่กำลังคืบหน้าเข้ามาเยือน ไปสู่สภาพสถานะใหม่ที่มีความหวังมากกว่าเดิม มีอนาคต มีความรุ่งโรจน์ และมีความปลอดภัยมั่นคงกว่าเดิม
องค์กรมีชีวิต มีเกิด มีเสื่อม มีดับ การอยู่รอดขององค์กรมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ถ้าองค์กรมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องมาก ความอยู่รอดขององค์กรจะมีมาก องค์กรที่มีการปรับตัวน้อยไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง การอยู่รอดขององค์กรมีปัญหา เพราะการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาคือชีวิตขององค์กร และการเปลี่ยนแปลงทำให้องค์กรมีชีวิต มีความเคลื่อนไหว (Dynamic) ทำให้องค์กรไม่กระด้างอยู่นิ่งตาย (Static)
กระบวนการเปลี่ยนแปลง จริงๆแล้วคือการละลายความแข็งตัวขององค์กรนั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นจากสภาพที่คนในองค์กรมีความคุ้นชินกับสภาพสถานะที่ดำรงอยู่ คนมีความรู้สึกปลอดภัยในสภาพสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ มีความรู้สึกสุขสบายกับสภาพสถานะที่เป็นอยู่ (Comfort status) คนในองค์กรไม่รู้สึกต้องการจะเปลี่ยนแปลงใดๆเพราะเห็นว่าดีอยู่แล้ว ทำให้องค์กรเริ่มไม่เคลื่อนไหว เกิดการนิ่งตัว เกิดความแข็งกระด้าง (Freezing) ไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว การจะทำให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ผู้นำต้องละลายความแข็งกระด้าง (Unfreezing) ขององค์กร ก่อนนำการเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพสถานะใหม่ที่ต้องการ
เมื่อองค์กรเปลี่ยนแปลงสภาพไปสู่สถานะที่ต้องการได้แล้ว องค์กรจะเริ่มเข้าสู่สภาวะอิ่มสุขใหม่อีกครั้ง คนในองค์กรมีความรู้สึกพึงพอใจในสภาพสถานะที่เป็นอยู่ใหม่ รู้สึกปลอดภัย มีความสุขสบายกับสถานะที่องค์กรประสบความสำเร็จ องค์กรเกิดอาการตึดยึดกับสภาพสถานะใหม่ เริ่มเดินเข้าสู่สภาพแข็งกระด้างอีกครั้ง และจะเกิดความจำเป็นต้องละลายความแข็งกระด้างขององค์กรอีกครั้ง เพื่อเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงรอบใหม่ เป็นวัฎจักรการเปลี่ยนแปลงขององค์กรไปเรื่อยๆ
การละลายความแข็งกระด้างขององค์กรไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคนในองค์กรโดยธรรมชาติแล้วจะติดยึดกับสิ่งเดิม จะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในเบื้องต้น และมีแรงต่อต้าน (Resistance) การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ เพราะคนกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น จะมีผลกระทบต่อตนเอง หรือกลุ่มของตน ทำให้องค์กรไม่ยอมละลายความแข็งตัว แต่เนื่องจากมีแรงขับเคลื่อน (Driving Force) ที่กดดันรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยี ทำให้องค์กรจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ผลักดันให้ต้องยอมละลายความแข็งกระด้าง องค์กรจะปรับตัวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ไปสู่สภาพสถานะที่ได้ดุลยภาพใหม่ (New Equilibrium) อีกครั้งหนึ่ง
ผู้นำการเปลี่ยนแปลงองค์กรต้องเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องเผชิญกับเรื่องต่อไปนี้

ความเจ็บปวด (Pain)
แน่นอนว่าการละลายความแข็งกระด้างขององค์กร มีผลทำให้คนหลายคนในองค์กรได้รับผลกระทบ บางคน บางกลุ่ม บางแผนก ในองค์กรจะต้องเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานที่เคยชิน อาจต้องสูญเสียผลประโยชน์บางอย่างที่เคยได้รับ อาจต้องเสียโอกาสบางเรื่องให้คนอื่นรับผิดชอบแทน ความไม่สมหวัง การต้องปรับอารมณ์ จิตใจ ทัศนคติใหม่ ล้วนเป็นความกระทบกระเทือนที่เจ็บปวด ผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องเข้าใจจุดนี้ และระมัดระวังความอ่อนไหวในอารมณ์ความรู้สึกของคนที่กำลังรู้สึกเจ็บปวด ผู้นำจึงต้องมีวิธีการเยียวยารองรับ และต้องให้เวลาคนในองค์กรได้เรียนรู้ และปรับตัวด้วย

การปฏิเสธ (Denial)
เป็นเรื่องปกติที่ปฏิกริยาแรกที่คนในองค์กรตอบสนองคือการปฏิเสธก่อน เพราะคนยังไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วน หรือยังไม่มีเวลาได้ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลดีผลเสียกับตน หรือกลุ่มตนอย่างไร สิ่งที่คนแสดงออกเบื้องต้นคือรักษาพื้นที่อาณาเขตของตนไว้ก่อน ด้วยการปฏิเสธไม่รับข้อเสนอในการเปลี่ยนแปลง เป็นการป้องกันไม่ให้ใครรุกรานเข้ามาในพื้นที่ ปกป้องสถานะ ผลประโยชน์ และความมั่นคงของตนเองก่อน

การต่อต้าน (Resistance)
การต่อต้านก่อตัวขึ้นหลังการปฏิเสธเพื่อแสดงน้ำหนักหนุนการปฏิเสธของตน เป็นการตอบโต้ให้รู้ว่าจะไม่ยินยอมเสียพื้นที่สุขสบาย (Comfort zone) ของตนหรือกลุ่มตน ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องใช้แรงขับเคลื่อนรอบด้านที่บีบรัดองค์กรเข้ามาเสริมให้คนในองค์กรเห็นความจำเป็นที่ต้องนำการเปลี่ยนแปลงเข้ามาสู่องค์กร โดยทำความเข้าใจให้เห็นภาพที่ชัดเจนของสภาพสถานะในอนาคตที่ต้องการขององค์กร ซึ่งผู้ต่อต้านมีส่วนจะได้รับประโยชน์ในอนาคตด้วย

การแสวงหา (Exploration)
หลังการต่อต้านอ่อนตัวลง คนเริ่มเสาะแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม และมองหาช่องทางโอกาสใหม่ที่ตนเองจะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น หรือมองหาพื้นที่สุขสบายใหม่ของตน หลายคนที่เคยปฏิเสธ หรือต่อต้านจะเริ่มยอมรับ หรือยอมให้โอกาสแก่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทัศนคติเริ่มเปลี่ยนจากการคิดลบเป็นการคิดบวกมากขึ้น เพราะเริ่มมองเห็นประโยชน์ที่ตนเองหรือกลุ่มของตนเองจะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน หรือผู้ต่อต้านอาจจะขอต่อรองบางเรื่องบางประการที่ยังไม่เข้าใจกระจ่าง เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบต่อสถานะของตนหรือกลุ่มตนอย่างไร ผู้นำควรเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และข้อเสนอต่างๆ เพื่อความกระจ่างและเข้าใจ

การสื่อสาร (Communication)
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง ผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องกระจายการสื่อสารเรื่องการเปลี่ยนแปลงไปทุกระดับชั้นและไปทั่วทั้งองค์กร สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดกระแสตอบรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น คนในองค์กรส่วนหนึ่งจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง คนอีกส่วนหนึ่งในองค์กรจะยังไม่แสดงออกว่าต่อต้านหรือสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง คนอีกส่วนหนึ่งจะแสดงออกว่าคัดค้านต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อนำคนกลุ่มที่ยังไม่แสดงออกว่าสนับสนุนหรือต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ให้มาเป็นผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าคนกลุ่มนี้มีความเข้าใจและหันมาสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เป็นคนกลุ่มใหญ่ขององค์กรที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลทำให้การเปลี่ยนแปลงในองค์กรมีพลังขับเคลื่อนเร็วมากขึ้น

นำทัศนคติ (Attitude)
ทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญในการนำการเปลี่ยนแปลง คนในองค์กรจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องเปลี่ยนทัศนคติก่อน คือการยอมละลายทัศนคติเดิมทิ้ง และรับทัศนคติใหม่เข้ามาแทนที่ทัศนคติเดิม เมื่อทัศนคติเปลี่ยน ความคิดและกระบวนทัศน์จะเปลี่ยน มุมมองในการเห็นปัญหา สิ่งแวดล้อม และบริบทจะเปลี่ยน ทำให้ท่าทีที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปด้วย เกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในที่สุด

การทุ่มเท (Commitment)
เมื่อทัศนคติลบได้ถูกละลายไปแล้ว ทัศนคติใหม่ที่เป็นทัศนคติบวกเข้ามาแทนที่ เป็นทัศนคติที่สร้างสรร มองการเปลี่ยนแปลงเป็นเชิงบวก มองเห็นด้านดี มองเห็นประโยชน์ขององค์กรที่จะได้รับในอนาคตหลังจากการเปลี่ยนแปลง คนในองค์กรจะเกิดความร่วมมือร่วมใจกันมากขึ้น เกิดพันธะทางความคิด จิตใจ เกิดความกระตือรือร้น อยากมีส่วนในกระบวนการเปลี่ยนแปลงขององค์กร เมื่อคนในองค์กรมีความทุ่มเทเกิดขึ้น ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงขององค์กรจะเกิดขึ้นในที่สุด

Lee Iacocca กล่าวว่า “The greatest discovery of my generation is that human beings can alter their attitudes of mind.” การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของคนในรุ่นข้าพเจ้า คือการที่มนุษย์สามารถเปลี่ยนทัศนคติของจิตใจเขาได้

คุณเปลี่ยนทัศนคติเพื่อการเปลี่ยนแปลงหรือยัง

 

สมชัย ศิริสุจินต์


ชอบบทความนี้ช่วยแนะนำต่อด้วยครับ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น