“Honest
people will treat you fairly; the wicked only want to deceive you.
The words of the wicked are murderous, but the words of the righteous rescue those who are threatened.” Proverbs 12:5-6
The words of the wicked are murderous, but the words of the righteous rescue those who are threatened.” Proverbs 12:5-6
Albert
Einstein กล่าวว่า “Intellectuals solve problems, geniuses
prevent them.” คนฉลาดแก้ไขปัญหา อัจฉริยะป้องกันปัญหา แต่ในชีวิตจริงผู้นำ
ต้องทำทั้งสองอย่าง เพราะผู้นำอยู่เพื่อป้องกันปัญหาและอยู่เพื่อแก้ไขปัญหา
ถ้าเลือกได้ผู้นำทุกคนอยากเป็นอัจฉริยะในการป้องกันปัญหามากกว่าเป็นเพียงคนฉลาดในการแก้ไขปัญหา
เพราะการแก้ไขปัญหามันยุ่งยากกว่า และเหนื่อยกว่ามาก แต่ว่าปัญหาในชีวิตจริงที่ผู้นำต้องเผชิญ
ไม่ได้อยู่นิ่งให้เราแก้เหมือนกับการแก้ปัญหาวิชาคณิตศาสตร์ที่เราสามารถแก้ตัวแปรทีละตัวได้
การเป็นผู้นำผู้รับใช้
สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจถ่อมสุภาพพร้อมรับใช้ผู้อื่น เหมือนที่ Harold
Warner ได้กล่าวว่า “The true character of ministry is a
servants heart” คุณลักษณะที่แท้จริงของการทำพันธกิจคือหัวใจผู้รับใช้
ใครที่ไม่มีหัวใจอยากจะทำงานรับใช้ผู้อื่น ไม่สามารถทำพันธกิจได้ คนที่จะทำพันธกิจได้
คือคนที่เกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าในจิตใจต้องการรับใช้ผู้อื่น หรือที่เรียกว่าได้รับการทรงเรียก
(Calling) จากพระเจ้า คือเกิดความรู้สึกร้อนรนในจิตใจที่ต้องการจะรับใช้ผู้อื่น
(The desire to serve others) และมีความรู้สึกต้องการสละความต้องการของตนเอง
(The willing to sacrifice self interest) เพื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุข
Richard Foster ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า เราต้องเข้าใจถึงความแตกต่างของความหมายระหว่าง การเป็นผู้เลือกที่จะให้บริการ
(Choosing to serve) กับ การเลือกที่จะเป็นผู้รับใช้ (Choosing
to be a servant) ดูผิวเผินอาจจะเห็นว่ามันเหมือนๆกันเพราะต่างก็ให้บริการเหมือน
แต่ความหมายที่แท้จริงแตกต่างกันอย่างมาก เพราะการเลือกที่จะให้บริการ (Choosing
to serve) มีความหมายว่าเรายังคงมีอำนาจควบคุมและเป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะรับใช้บริการใคร
(Whom we will serve) เลือกที่จะให้บริการเมื่อใด (When
we will serve) เรามีอิสระที่จะเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ตามความสมัครใจของเรา
เราสามารถเลือกที่ให้บริการใคร แบบใด ในเวลาที่เรารู้สึกพอใจจะให้บริการ เรายังเป็นศูนย์กลางในการให้บริการ
แต่ถ้าเราเลือกที่จะเป็นผู้รับใช้ (Choosing to be a servant) ผู้รับใช้คือผู้ที่ยอมเสียสละอำนาจในการควบคุม (The right to in
charge) ดังนั้นการรับใช้จึงยึดเอาผู้ที่เรารับใช้เป็นศูนย์กลาง
ผู้รับใช้จึงไม่มีเงื่อนไขในการรับใช้ว่าจะรับใช้ใคร จะรับใช้เมื่อไหร่
จะรับใช้อย่างไร
เพราะไม่มีผลประโยชน์ที่ต้องคิดคำนึงหรือกังวลใจว่าจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบผู้ที่เรารับใช้
การทำได้อย่างนี้ถึงจะเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริง เพราะมีความอิสระในการรับใช้ (freedom
to serve) อย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่มีอะไรผูกติดกับผลประโยชน์ในการรับใช้
ดังคำกล่าวที่ว่า “True service is indiscriminate in its ministry.” การให้บริการที่แท้จริงคือการไม่เลือกปฏิบัติในพันธกิจที่รับใช้ ไม่ว่าผู้นั้นจะยากดีมีจน
จะมีผิวสีใด มีเชื้อชาติใด มีวุฒิความรู้ระดับใด หรือเพศใด อายุใด หรือมีความเชื่อใด
ถ้ามีความทุกข์ยากลำบากใจ ผู้รับใช้พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือเพื่อให้เขามีความสุข
แล้วการเป็นผู้รับใช้
จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อการกระทำของผู้รับใช้ทั้งหมดไม่ไปผูกโยงกับผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง
คำตอบคือ อิสรภาพของผู้รับใช้ ความอิสระทางความคิดและจิตใจของผู้รับใช้ ที่ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องผลประโยชน์
ทำให้มีความเป็นไท ที่ไม่ต้องเป็นทาสของผลประโยชน์ จึงสามารถคิดและทำสิ่งที่ตนอยากกระทำโดยไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลังว่าจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตนหรือไม่
ความเป็นไท ทำให้หลุดพ้นจากบ่วงผลประโยชน์ที่ผูกรัดตนเอง มีเสรีภาพให้ทำงานรับใช้อย่างเต็มที่
จึงได้รับความสุขจากการมีอิสรภาพในการทำพันธกิจรับใช้ผู้อื่น
ผลดีจากการมีอิสรภาพในการเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น
อย่างน้อยที่สุดคือ
ทำให้ไม่ต้องแข่งขันเอาชนะผู้อื่น
การมีอิสรภาพจากการไม่ต้องคิดถึงผลประโยชน์แก่ตนเอง
ทำให้ผู้รับใช้ไม่ต้องไปคิดแข่งขันกับใคร ไม่ต้องไปแย่งชิงผลประโยชน์กับใคร จึงทำให้มีทัศนคติ
ความคิด และจิตใจที่ไม่ผูกกับผลประโยชน์ วิธีคิดของผู้รับใช้จึงเป็นวิธีคิดแบบให้(Give) ไม่ใช่วิธีคิดแบบเอา (Take) จึงไม่มีคู่แข่งขัน
Marilyn Monroe ดาราสาวพราวเสน่ห์กล่าวว่า “If you spend
your life competing with business men, what do you have? A bank account and
ulcers!” ถ้าคุณใช้ชีวิตในการแข่งขันกับนักธุรกิจ สิ่งที่คุณจะได้คือ
บัญชีธนาคารและโรคกระเพาะ
ทำให้ความสัมพันธ์ต่อผู้อื่นราบรื่น
เมื่อไม่มีคู่แข่งขัน ก็ไม่มีศัตรู มีแต่มิตร ความสัมพันธ์ของผู้รับใช้กับผู้อื่นบนพื้นฐานการไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง
ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้มีแต่มิตรและมิตรภาพ
เพราะผู้รับใช้ไม่ได้เอาเปรียบใคร ไม่ได้หวังประโยชน์ตอบแทน ความสัมพันธ์จึงราบรื่นไม่เกิดปัญหา
Euripides
กล่าวว่า “One loyal friend is worth ten thousand
relatives” มีเพื่อนที่รักภักดีหนึ่งคนมีค่าเท่ากับญาติพี่น้องหมื่นคน
ความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้งานของผู้รับใช้เกิดผลดี
ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น
เมื่อการทำงานรับใช้เกิดผลดี
ผู้รับใช้มีความสุข เพราะชีวิตผู้รับใช้มีความสุขจากการทำให้ผู้อื่นมีความสุข ชีวิตผู้รับใช้เป็นชีวิตที่ถ่อมสุภาพ
(Humbleness)
ไม่สร้างความลำบากให้ใคร จึงเป็นชีวิตที่เปี่ยมสุข Mahatma
Gandhi ผู้นำชาวอินเดียกล่าวว่า “Happiness is when what you
think, what you say, and what you do are in harmony” ความสุขคือเมื่อสิ่งที่คุณคิด
สิ่งที่คุณพูด และสิ่งที่คุณกระทำ มันสอดคล้องกัน ชีวิตของผู้รับใช้ คิด พูด และทำในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นคุณเสมอ
ดังนั้นชีวิตจึงมีความสุข
ทำให้มีสุขภาวะที่ดีทั้งกาย อารมณ์
จิตใจ
ผลจากการรับใช้ผู้อื่นให้มีความสุข
ทำให้ผู้รับใช้ไม่เครียดในการทำงาน จึงมีสุขภาพจิตที่ดี
มีสุขภาวะทางจิตใจที่แจ่มใส เพราะอิ่มสุข อิ่มพระพรจากการได้ทำงานรับใช้ผู้อื่น Carl
Jung นักจิตวิทยาบอกว่า “The healthy man does not torture
others- generally it is the tortured who turn into torturer.” ผู้ที่มีสุขภาวะที่ดีไม่ทำร้ายผู้อื่น
โดยทั่วไปผู้ที่ถูกทำร้ายคือผู้ที่กลายเป็นผู้ทำร้ายผู้อื่น
ทำให้ชีวิตเกิดผลมากขึ้น
ชีวิตผู้รับใช้เป็นชีวิตที่เกิดผล
การทำให้ผู้อื่นมีความสุขเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีค่ามากกว่าเงินทอง
เพราะไม่สามารถเอามูลค่าทางวัตถุมาเปรียบเทียบกับมูลค่าทางจิตใจได้ Franz
Kafka กล่าวว่า
ชีวิตที่เกิดผลเกิดจากการได้ทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยสามารถทำได้มาก่อน “Productivity
is being able to do things that you were never able to do before” และชีวิตที่เกิดผลจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นอยากมีชีวิตที่เกิดผลด้วย
John
Quincy Adams กล่าวว่า “If your actions inspire others to
dream more, learn more, do more and become more, you are a leader.”
ถ้าการกระทำของท่านได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นมีความฝัน(ที่จะเป็นผู้รับใช้)
มากขึ้น อยากจะเรียนรู้ (เรื่องการรับใช้) มากขึ้น อยากทำ (การรับใช้) มากขึ้น
และอยาก (เป็นผู้รับใช้) มากขึ้น ท่านคือผู้นำ
ขอฝากคำสอนของพระเยซูคริสต์ผู้เป็นต้นแบบของการเป็นผู้นำผู้รับใช้
จากพระธรรม มาระโก 9: 35
“ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นคนต้น ก็ให้ผู้นั้นเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง” "If anyone wants to be first, he must be the very
last, and the servant of all."
คุณอยากเป็นคนสุดท้าย
และรับใช้คนอื่นทั้งหมดหรือยังครับ
ปล. ขอบคุณที่อ่านจนจบ ถ้าชอบกรุณาช่วยบอกต่อด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น