“The LORD is pleased with good people, but
condemns those who plan evil. Wickedness does
not give security, but righteous people stand firm.” Proverbs
12:2-3
ผู้นำในความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจและเป็นที่ยอมรับในการบริหารจัดการคือผู้นำที่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
(Transformation leader) เป็นผู้นำที่มีบทบาทในการนำให้องค์กรที่ตนเองเป็นผู้นำอยู่
เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรตามที่ผู้นำเห็นว่าจะมีอิทธิพลผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ผู้นำต้องการได้
เช่นเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานแบบเชิงรับ (Reactive)
เป็นการทำงานแบบเชิงรุก
(Proactive) เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานแบบอำนาจอยู่ที่ตัวผู้นำ(I-Power)
เป็นการทำงานแบบอำนาจอยู่ที่คนอื่น(You-Power)
คือมอบอำนาจความรับผิดชอบให้คนอื่นคิดและตัดสินใจ
เปลี่ยนองค์กรที่อยู่นิ่ง (Static)
ไม่ปรับตัวให้เป็นองค์กรที่ปรับตัว มีพลวัตร(Dynamic)
มีการเคลื่อนไหวตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนองค์กรที่คอยแต่ทำตามแบบคนอื่นให้เป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมการคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่
(Innovative culture) สร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นเพื่อทำให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าสามารถแข่งขันได้
ผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั่วไปใช้ความเป็นผู้นำ(Leadership)
ในการผลักดัน (Influence) ให้ผู้ทำงานภายใต้การนำของตนสร้างการเปลี่ยนแปลง
โดยใช้วิธีการสร้างแรงจูงใจ (Motivate) ให้ผู้ติดตามทำตามความต้องการของผู้นำ
(Individualized consideration) ผู้นำใช้การกระตุ้น
(Stimulate) ให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจเป้าหมายและวิธีการเดินไปสู่เป้าหมายที่ผู้นำต้องการ
จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เป้าหมาย ถึงจะนับได้ว่าเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
ผู้นำผู้รับใช้
เป็นผู้นำที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกับผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั่วไป
แต่วิธีคิด และวิธีการ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้นำผู้รับใช้จะแตกต่างไปจากแนวคิดของผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั่วๆไป
เพราะผู้นำผู้รับใช้เน้นการเปลี่ยนแปลงภายในตัวคนก่อน คือเน้นเรื่องจิตวิญญาณ (Spiritual)
ของคนเป็นสำคัญ
ถ้าคนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านจิตวิญญาณ จิตใจของเขาจะเปลี่ยน
ความคิดและทัศนคติจะเปลี่ยน ซึ่งทำให้การประพฤติปฏิบัติของเขาเปลี่ยนตามไปด้วย การเปลี่ยนแปลงภายนอกจะตามมาเอง
เขาจะเกิดความรู้สึกร้อนรน เกิดความคิดใหม่อยากจะทำสิ่งใหม่ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เป้าหมายได้
และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะยั่งยืนกว่า เพราะเป้าหมายของผู้นำผู้รับใช้มุ่งไปที่คน
และความต้องการของชุมชน (Community
consideration) เป็นสำคัญ
ผู้นำผู้รับใช้จึงมุ่งให้ความสนใจและให้คุณค่าคน
(Valuing people) โดยการพัฒนาคนที่จิตใจก่อน
เมื่อจิตใจของคนได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นจิตใจแบบผู้รับใช้ได้แล้ว
ตัวเขาเองจะดิ้นรนหาหนทางในการช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุข ทำให้มีสิ่งดีเกิดขึ้นในชีวิต
ซึ่งก็คือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นนั่นเอง แนวคิดแบบผู้นำผู้รับใช้จึงดูยากลำบากในเชิงปฏิบัติกว่าแนวคิดผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั่วไป
แต่จริงๆแล้วทั้งสองแนวคิดมีหลักคิดหลายอย่างที่เหมือนๆกัน เพียงแต่มีจุดเน้นเรื่องการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน
Skip
Prichard ได้ให้แนวคิดเรื่องคุณสมบัติ (Qualities)
สำคัญของผู้นำผู้รับใช้หลายประการ
ขออนุญาตนำมาเขียนตามความเข้าใจดังนี้
Values diverse opinions
ผู้นำผู้รับใช้ ต้องฟังให้เป็น
ฟังให้ได้ยินความคิดความต้องการของผู้อื่นก่อน รวมทั้งต้องให้ความสนใจและยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
เพราะจุดประสงค์ของการเป็นผู้นำผู้รับใช้คือการทำเพื่อรับใช้ผู้อื่น จึงต้องฟังผู้อื่นให้ถูกต้องเสียก่อนว่าเขามีความต้องการอะไร
ถึงจะปฏิบัติตอบสนองความต้องการของเขาได้ถูกต้อง
Cultivates culture of trust
การจะทำงานรับใช้ผู้อื่นได้
ผู้นำผู้รับใช้ต้องทำให้คนอื่นมีความเชื่อมั่น
ไว้วางใจในตัวผู้นำผู้รับใช้เสียก่อน เพราะถ้าคนไม่ไว้วางใจในตัวผู้นำผู้รับใช้
เขาจะไม่เปิดโอกาสให้ผู้นำผู้รับใช้มีโอกาสได้รับใช้เขา ดังนั้นการพูด
การกระทำและวิถีชีวิตของผู้นำผู้รับใช้จึงต้องสัตย์ซื่อ (Integrity) และเชื่อถือได้ (Accountable)
คนถึงจะไว้วางใจให้รับใช้
Develops other leaders
เพราะผู้นำผู้รับใช้ ไม่ได้ต้องการให้ตนเองเป็นเอกเป็นต้น
ครองตำแหน่งผู้นำเหมือนอย่างผู้นำทั่วๆไปที่ต้องการอยู่ในตำแหน่งนานๆ ดังนั้นผู้นำผู้รับใช้จึงมีภาระในการสร้างผู้นำให้มีจำนวนมากขึ้น
คือสร้างผู้นำผู้รับใช้รุ่นใหม่โดยการเปิดโอกาสให้เขามีการเรียนรู้ (Learning) เพื่อเขาจะได้เติบโต (Growth)
เป็นผู้นำผู้รับใช้ต่อไป ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นต่อไปอย่างต่อเนื่อง
Help people with life issues
ผู้นำผู้รับใช้ช่วยผู้อื่นด้วยเรื่องชีวิต
เป็นการช่วยเหลือที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องวิชาการความรู้ ยุทธศาสตร์
กระบวนการ วิธีการ และการวัดผล แบบผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั่วไปที่เน้นการพัฒนาคนในเรื่องการทำงานเป็นหลัก
แต่ผู้นำผู้รับใช้ก้าวไปลึกกว่าคือเน้นการพัฒนาชีวิตผู้อื่นให้มีความสุข
ช่วยเหลือคนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ปัญหาชีวิต
เพื่อเขาจะมีชีวิตที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
Encourages people
ผู้นำผู้รับใช้เป็นผู้มีใจให้ผู้อื่นเสมอ
ดังนั้นชีวิตของเขาจึงมีแต่การให้กำลังใจ (Encourage)
ผู้อื่น
พร้อมที่จะให้ความอบอุ่นปลอดภัย (Comfort) และเป็นที่กำบัง
(Shelter) ในยามทุกข์ร้อนแก่ผู้อื่นเสมอ ทำให้ผู้อื่นมีความหวัง
มีความอบอุ่นเมื่อต้องการความช่วยเหลือ
Sells not Tells
ผู้นำผู้รับใช้ ไม่ใช้ความแข็งลักษณะแบบเผด็จการที่ใช้อำนาจสั่งให้ผู้อื่นยอมรับและกระทำตาม
แต่ผู้นำผู้รับใช้จะใช้ความอ่อนในการนำการเปลี่ยนแปลงโดยการขายความความคิด สร้างความเข้าใจ
ส่งเสริมให้เกิดการยอมรับ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในความคิดของคนก่อน
ซึ่งจะก่อให้เกิดการกระทำด้วยใจตามมา และจะเกิดผลที่ยั่งยืนกว่าการกระทำตามคำสั่งโดยไม่มีความเข้าใจ
You not Me
หัวใจของผู้นำผู้รับใช้
อยู่ที่ผู้อื่นไม่ใช่อยู่ที่ตัวเอง เพราะเป้าหมายการรับใช้ของผู้นำผู้รับใช้คือความสุขของผู้อื่นไม่ใช่ความสุขของตนเอง
ดังนั้นความคิดและการปฏิบัติของผู้นำผู้รับใช้จึงมุ่งที่ผู้อื่นเสมอ
ทำให้ผู้นำผู้รับใช้ ไม่เข้าไปควบคุมคนอื่นให้ทำตามความต้องการของตน
Long-term not short-term
เมื่อผู้นำผู้รับใช้คิดถึงความต้องการของผู้อื่นเป็นหลัก
จึงต้องมองผลประโยชน์ของคนและชุมชนเป็นสำคัญ เพราะเมื่อคนมีความสุข
ชุมชนจะมีความสุขด้วย ดังนั้นสิ่งที่ผู้นำผู้รับใช้ คิดและทำ จึงมีเป้าหมายที่ผลประโยชน์ระยะยาวมากกว่าผลประโยชน์ระยะสั้น
Humility
ผู้นำผู้รับใช้ต้องเป็นผู้ถ่อมตน
มีจิตใจที่ถ่อมสุภาพ ถึงจะเป็นผู้นำผู้รับใช้ที่ดีได้
เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเป็นแบบอย่างโดยถ่อมพระองค์ลงล้างเท้าสาวกของพระองค์
คนที่ใจไม่ถ่อมไม่สามารถฝืนการรับใช้ผู้อื่นได้นาน เพราะใจของเขาจะไม่เป็นสุขในการรับใช้ผู้อื่น
Nelson Mandela ผู้นำคนหนึ่งของโลกกล่าวว่า “I stand
here before you not as a prophet, but as a humble servant of you, the people.” ข้าพเจ้ายืนต่อหน้าท่านตรงนี้ไม่ใช่ในฐานะศาสดาพยากรณ์
แต่ในฐานะผู้รับใช้ที่ถ่อมตนของท่านที่เป็นประชาชน
ท่านพร้อมที่จะเป็น
ผู้นำผู้รับใช้ หรือยังครับ?
· ขอบคุณที่อ่านจนจบ ถ้าชอบ กรุณาช่วยแนะนำให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น