“Don’t
accuse a person for no good reason; don’t accuse someone who has not harmed
you.” Proverbs 3:30
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งของเมือง Baltimore ประเทศสหรัฐอเมริกากลายเป็นทะเลเพลิง เมื่อฝูงชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่มสาวและชาวบ้านที่เป็นคนผิวสีออกมาอาละวาด
ตามท้องถนน จุดไฟเผา ทุบทำลายรถยนต์ตำรวจ รถยนต์ชาวบ้าน วางเพลิงร้านค้า
ทุบทำลายกระจกสำนักงานร้านค้า หยิบฉวยเอาสินค้าในร้านค้า ขว้างปาก้อนหิน
พยายามทำร้ายตำรวจ จนทั้งเมืองโกลาหลวุ่นวาย ทำให้ผู้ว่าการรัฐต้องใช้อำนาจประกาศภาวะฉุกเฉิน
(State of emergency) และประกาศห้ามคนออกนอกบ้านในยามวิกาล (Curfew) ระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 05.00 น.
เพื่อควบคุมสถานะการณ์ และให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (The National Guard) เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับตำรวจท้องถิ่นเพื่อยุติเหตุจลาจลโดยเร็ว
ความไม่พอใจของคนผิวสีในเมือง Baltimore เกิดจากกรณีที่ตำรวจไล่จับนาย
Freddie Gray คนผิวสี ที่พอเห็นตำรวจก็หันหลังวิ่งหนี
ทำให้ตำรวจวิ่งไล่จับและตะครุบตัวได้ในที่สุด ใส่กุญแจมือ และลากไปขังในรถตู้ของตำรวจ
เมื่อนาย Freddie Gray
ร้องดิ้นโวยวายใหญ่ ตำรวจเลยใส่กุญแจข้อเท้าให้อีกชุด
เพื่อไม่ให้ดิ้น ซึ่งนาย Freddie Gray ได้พยายามขอร้องตำรวจให้เรียกรถพยาบาลเพราะรู้สึกเจ็บต้องการไปโรงพยาบาล
แต่ตำรวจไม่สนใจ จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ถึงได้เรียกรถพยาบาลมารับไปโรงพยาบาล
แต่ในเวลาต่อมานาย Freddie
Gray ได้เสียชีวิตลงเพราะกระดูกสันหลังได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
(severe spinal injury) ทำให้คนผิวสีในเมือง Baltimore โกรธแค้นและออกมารวมตัวกัน ทำลายสิ่งของและจุดไฟเผา อาคารร้านค้า
จนเมืองจลาจลวุ่นวาย
พอคนผิวสีออกมาอาละวาดตามถนนมากขึ้น ตำรวจต้องถอนกำลังที่ประจำอยู่ตามย่านธุรกิจ
ศูนย์การค้า ไปช่วยคุมพื้นที่ที่คนผิวสีประจันหน้ากับตำรวจ
เลยเปิดโอกาสให้คนผิวสีบุกทุบกระจกร้านค้าเข้าไปหยิบฉวยสินค้าเสื้อผ้า อาหาร
เครื่องอุปโภค บริโภค เอากลับไปใช้ที่บ้านตามใจชอบ
คนผิวสีวัยรุ่นบุกร้านขายเหล้ากวาดเอาเหล้าเบียร์ ออกมาแจกจ่ายบริโภคกัน พอดื่มได้อารมณ์ฮึกเหิม
ก็พากันลุยจุดไฟเผาบ้านเผาเมืองซะเลย จนทางการต้องประกาศให้พ่อแม่ผู้ปกครองไปตามหาและพาลูกหลานกลับเข้าบ้านโดยด่วน
เพราะเห็นวัยรุ่นบางกลุ่มใส่กางเกงฟอร์มของโรงเรียนออกมาร่วมสร้างผลงานตามถนนกับเขาด้วย
เนื่องเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้กระสุนยาง และจับพวกก่อความวุ่นวายเข้าห้องขังแล้ว
คนผิวสีมากกว่า 2,500 คน
มาร่วมงานพิธีศพของนาย Freddie Gray ที่โบสถ์คริสตศาสนานิกายแบ๊บติส ท่ามกลางความรู้สึกเศร้าสลดใจ
มีผู้นำของคนผิวสี ทั้งนักการเมือง และ นักการศาสนา ที่มีชื่อเสียงหลายท่านมาร่วมงานและกล่าวคำไว้อาลัย
ทำให้งานพิธีศพใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง เมื่อทำพิธีฌาปนกิจร่างนาย Freddie Gray เสร็จแล้ว
ความรู้สึกไม่พึงพอใจที่คุกรุ่นอยู่ในใจของคนผิวสีกลับกระพือมากขึ้น ความรู้สึกว่าชีวิตของผิวสีไม่มีความหมาย
เริ่มแสดงออกสื่อเป็นตัวอักษรตามกำแพง เช่น ชีวิตคนดำก็มีความค่า (Black Lives Matter) และ ทุกชีวิตมีค่า (All Lives
Matter)
ความจริงตำรวจก็ได้รับทราบข้อมูลความรู้สึกไม่พอใจของคนผิวสี
ที่สื่อสารถึงกันในระหว่างพิธีศพว่ามีกลุ่มแก็งค์คนผิวสี 3
กลุ่มกำลังประสานกันว่าจะรวมตัวกันออกมาเอาคืนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างไร
แต่ตำรวจไม่ได้คิดว่าจะเอาคืนกันรุนแรงขนาดนี้ ผลจากการปะทะกันระหว่างคนผิวสี
กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ตำรวจบาดเจ็บไม่น้อยกว่า 15 คน และต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2 คน
เรื่องการตายของนาย Freddie Gray
ทางตำรวจ FBI และ
เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมจากส่วนกลางกำลังเข้ามาสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นที่อาจมีส่วนพัวพันทำให้ผู้ต้องหาตายในระหว่างการจับกุม
ซึ่งขณะนี้ได้สั่งพักงานเจ้าหน้าตำรวจ 6 นายไปแล้ว ต้องคอยดูว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีความโปร่งใสและเป็นธรรมอย่างไรต่อไป
คนผิวสีในประเทศสหรัฐอเมริการู้สึกว่า
ไม่มีความเป็นธรรม ไม่มีความน่าเชื่อถือในสังคม เหมือนกลับไปสู่ยุคสมัยของสาธุคุณ Martin Luther Kings ที่เรียกร้องขอเสรีภาพและความเสมอภาคให้กับคนผิวสี ซึ่งความรู้สึกของคนผิวสีที่ไม่ได้รับความเสมอภาคในการปฏิบัติจากสังคมอเมริกันกำลังขยายตัวกว้างกระจายไปทั่วประเทศในเวลานี้
ทั้งๆที่ประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เป็นคนผิวสี
ครอบครัวของนาย Freddie Gray
ผู้ตายรู้สึกตกใจที่การตายของเขาเป็นสาเหตุให้เมืองเกิดการจลาจลทำให้มีความเสียหายเกิดขึ้นมากมาย
และได้ขอร้องให้ยุติการจลาจลโดยเร็ว และขอให้ใช้แนวทางสันติวิธีแทน
ที่นำเรื่องการจลาจลที่เมือง
Baltimore ประเทศสหรัฐอเมริกา
มาเสนอ เพื่อเป็นการเรียนรู้ร่วมกันว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา มีปัญหาสังคม
ที่มีความเหลื่อมล้ำทางฐานะทางเศรษฐกิจ และฐานะทางสังคมอยู่มากมาย แม้ประเทศสหรัฐอเมริกาจะทำตัวและประกาศว่า
เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตย มีเสรีภาพ มีความเท่าเทียมกัน และพยายามกดดันให้ประเทศอื่นๆทั่วโลกต้องมีประชาธิปไตยเหมือนตน
แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่เมือง Baltimore นี้ เป็นความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่า การมีประชาธิปไตย
ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนจนของประเทศสหรัฐอเมริกานับหมื่น
นับแสนคนไม่มีบ้าน ต้องซุกหัวนอนตามซอกตึก ตามสวนสาธารณะ มีให้เห็นทั่วไปตามเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
ประชาธิปไตย ไม่ได้ช่วยป้องกันให้คนรวยมีโอกาสเอาเปรียบคนจนมากขึ้น
และประชาธิปไตยอาจทำให้เกิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาเอง
เป็นตัวอย่างของความไม่เท่าเทียมกันของรายได้และความมั่งคั่ง จากการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์
Emmanuel Saez และ Gabriel Zucman
พบว่า ตั้งแต่ปี 1930 ซึ่งเป็นปีที่โลกเจอวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรง (The Great Depression) มาจนถึงช่วงปี 1970 ประเทศสหรัฐอเมริกามีการกระจายความมั่งคั่งได้ค่อนข้างจะดีในช่วงปีต้นๆ
แต่ในช่วงปีหลังๆมานี้ การกระจายความมั่งคั่งเริ่มมีลักษณะเป็นรูปตัว U คือ
เริ่มมีความแตกต่างที่ไม่เท่าเทียมกัน (Wealth
inequality) มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นลักษณะความร่ำรวยมากกระจุกอยู่ในคนกลุ่มน้อย
แต่ความจนมากกระจายอยู่ในคนกลุ่มใหญ่ คนอเมริกันที่ร่ำรวยสูงสุดจำนวนเพียง 0.1 เปอร์เซนต์
มีความร่ำรวยเพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซนต์ในปี 2012
จากที่เคยเป็นเพียง 7 เปอร์เซนต์ในช่วงปลายปี 1970 และกลุ่มคนรวยมากสุดของสหรัฐอเมริกาจำนวนเพียง 0.1 เปอร์เซนต์นี้
ซึ่งมีจำนวนประมาณ 160,000 ครอบครัวเท่านั้นเอง แต่ทรัพย์สินของบรรดาอภิมหาเศรษฐีจำนวน
160,000 ครอบครัวนี้ มีมูลค่าเท่ากับทรัพย์สินของกลุ่มคนอภิมหาจนของสหรัฐอเมริกาจำนวนถึง
145,000,000 ครอบครัวรวมกัน
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่ากลุ่มคนสุดจะยากจนมากๆของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวสี จะมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมาก มีฐานะทางสังคมที่ด้อยกว่า
มีความคับแค้นใจที่เห็นความมั่งมีมากมากและความสุขสบายของคนผิวขาว
กับความไม่มีมากมากและความทุกข์ยากของคนผิวดำ ในชีวิตประจำวันของพวกเขา
และยังมองไม่เห็นความหวังอะไร ที่จะทำให้สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกเขาดีขึ้น
เหตุการณ์การก่อจลาจลของคนผิวสีใน Baltimore ครั้งนี้ อาจจะเป็นเพียงปลายยอดภูเขาน้ำแข็งที่เริ่มโผล่เหนือผิวน้ำ
ข้างใต้น้ำลึกยังมีปัญหาก้อนใหญ่มหึมาซ่อนอยู่ และเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ
เพราะประเทศไทยอยู่ในกระแสเศรษฐกิจแบบเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกา และบางทีประเทศไทยอาจจะเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ
เพราะประเทศไทยอาจจะมีอภิมหาเศรษฐีจำนวนไม่ถึง 100 ครอบครัว แต่ครอบครองทรัพย์สินจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของคนจนมากมากในประเทศไทย
10 ล้านคนรวมกันก็ได้
และถ้าเราไม่ได้ทำการแก้ไขให้ช่องว่างความแตกต่างกันที่ห่างกันมากๆของความมั่งคั่งของประชากรให้ดีขึ้น
เหตุการณ์แบบ Baltimore
Model อาจเกิดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร
ได้
Bob Marley กล่าวว่า “The greatness of a
man is not in how much wealth he acquires, but in his integrity and his ability
to affect those around him positively.” ความยิ่งใหญ่ของคนไม่ได้อยู่ที่เขามีความมั่งคั่งเท่าไหร่
แต่อยู่ที่ความสัตย์ซื่อ และความสามารถของเขาที่มีผลในทางที่ดีต่อคนที่อยู่รอบๆตัวเขา
Mahatma Gandhi กล่าวว่า
“It is health that is real wealth and not pieces of
gold and silver.” ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือสุขภาพ ไม่ใช่เงินและทอง
แหล่งข้อมูล: Associated Press; Juliet Linderman and Jeff Horwitz
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเป็นเพื่อนทางความคิด
และ
ขอบคุณที่ช่วยแนะนำให้เพื่อนมาเยี่ยม
สมชัย
ศิริสุจินต์
ปล. ผมมี page ใน Facebook ชื่อ kiddee
ว่างๆเชิญเยี่ยมด้วยครับ
https://www.facebook.com/suntivaja