วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความสามารถในการแข่งขันของไทย (6)



“So you must follow the example of good men and live a righteous life. Righteous men- men of integrity- will live in this land of ours.”
  Proverbs 2:20-21
 
ได้นำเสนอเรื่องรากฐานความสามารถในการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของประเทศไทยไปแล้ว วันนี้ขอเสนอรากฐานความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญประการที่ 3 ในหมวดความต้องการพื้นฐาน คือ เรื่องสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic environment) ของประเทศที่นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจ เพราะเรื่องระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางการเงินของประเทศ และมีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนทาง การค้า การทำธุรกิจทุกประเภท เนื่องจากนโยบายหรือมาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้กระตุ้นหรือควบคุมเศรษฐกิจการเงินของประเทศ มีผลต่อตลาดหุ้น อัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืด ค่าของเงิน และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างเช่นสถานะการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้ที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจจากหลายหน่วยงาน ทั้งของราชการและเอกชน ต่างทะยอยออกมาแถลงแล้วว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยปีนี้ไม่น่าเกิน 2 เปอร์เซนต์ จากที่เคยประกาศตัวเลขตอนต้นปีว่า ปึ 2557 ประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 4 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียนด้วยกันแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านต่างมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า 4 เปอร์เซนต์ในปีนี้ ตัวเลขอย่างนี้สะท้อนสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคของประเทศไทยว่าน่าจะนโยบายทางเศรษฐกิจบางประการที่เป็นเหตุทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและความแข็งแรงทางเศรษฐกิจของประเทศ มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนขยายธุรกิจ หรือ นักลงทุนในธุรกิจใหม่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนเสมอ
 
รากฐาน Pillar
 
ปัจจัยต้องการพื้นฐาน
BASIC REQUIREMENTS
สถาบัน
1.Institutions
โครงสร้างพื้นฐาน2.Infrastructure
เศรษฐกิจมหภาค3.Macroeconomic environment
สุขภาพและการศึกษาเบื้องต้น
4.Health and primary education
ประเทศ/เศรษฐกิจCountry
/Economy
ตำแหน่ง
Rank
คะแนนScore
ตำแหน่งRank
คะแนนScore
ตำแหน่งRank
คะแนนScore
ตำแหน่งRank
คะแนนScore
ตำแหน่งRank
คะแนนScore
 
Cambodia  
103
4.09
119
3.25
107
3.05
80
4.60
91
5.44
Indonesia  
46
4.91
53
4.11
56
4.37
34
5.48
74
5.67
Lao PDR    
98
4.13
63
3.92
94
3.38
124
3.78
90
5.44
Malaysia     
23
5.53
20
5.11
25
5.46
44
5.26
33
6.28
Myanmar   
132
3.36
136
2.80
137
2.05
116
4.00
117
4.59
Philippines   
66
4.63
67
3.86
91
3.49
26
5.76
92
5.41
Singapore   
1
6.34
3
5.98
2
6.54
15
6.13
3
6.73
Thailand  
40
5.01
84
3.66
48
4.58
19
6.01
66
5.80
Vietnam    
79
4.44
92
3.51
81
3.74
75
4.66
61
5.86
 
สำหรับรากฐานที่ 3 ในหมวดปัจจัยต้องการพื้นฐานคือ เรื่องสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic environment) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 19 ได้คะแนน 6.01 ถือว่าอยู่ในอันดับที่ค่อนข้างดี แม้จะสู้ประเทศสิงคโปร์ที่อยู่ในอันดับที่ 15 ไม่ได้ แต่ดีกว่าประเทศฟิลิปปินส์ อันดับที่ 26 ประเทศอินโดนีเซียอันดับที่ 34 ประเทศมาเลเซียอันดับที่ 44  ประเทศเวียตนามอันดับที่ 75 ประเทศกัมพูชาอันดับที่ 80 ประเทศพม่าอันดับที่ 116 และประเทศลาว อันดับที่ 124
การที่ประเทศไทยได้คะแนนในเรื่องสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคค่อนข้างดี เขาศึกษาวิเคราะห์เรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ 5เรื่อง ซึ่งประเทศไทย ได้คะแนนในแต่ละเรื่อง และมีอันดับดังนี้
 
รากฐานที่ 3  สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic environment)
เรื่อง
คะแนน
Value
ตำแหน่งของประเทศไทย
Rank
งบประมาณของรัฐบาลที่สมดุล กับอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
Government budget balance, % GDP*
–0.2
27
เงินออมประชาชาติ กับอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ
Gross national savings, % GDP*
28.5
27
เงินเฟ้อ กับอัตราการเปลี่ยนแปลงในปี
Inflation, annual % change*
2.2
1
หนี้สินทั่วไปของรัฐบาลกับอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ
General government debt, % GDP*
45.3
78
อันดับเครดิตของประเทศ
Country credit rating, 0–100 (best)*
63.5
43
 
อันดับที่ดีที่สุดของประเทศไทยในหมวดสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคคือ เรื่องเงินเฟ้อกับอัตราการเปลี่ยนแปลงซึ่งประเทศไทยได้คะแนน 2.2 และอยู่ในอันดับที่ 1 ซึ่งน่าจะเป็นผลจากในช่วงระยะเวลาปีที่ทำการศึกษาอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยไม่มากและค่อนข้างนิ่ง จึงทำให้ได้คะแนนดีในเรื่องนี้
อันดับที่ดีถัดมาของประเทศไทยคือเรื่องงบประมาณของรัฐบาลที่ตั้งงบประมาณได้สมดุล กับอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวม ทำให้ได้อันดับที่ 27 และเงินออมประชาชาติ กับอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ ก็ได้อันดับที่ 27 เหมือนกัน แสดงว่านโยบายการเงินและการคลังของประเทศไทย ยังเป็นที่น่าเชื่อถือได้ เพราะรัฐบาลสามารถบริหารงบประมาณได้ดี ยังสามารถใช้หนี้คืนได้ เหมือนบางประเทศที่มีปัญหา รัฐบาลไทยยังมีระเบียบวินัยทางการคลังที่ดี และประเทศยังมีเงินออมในประเทศเพื่อใช้ในการลงทุนได้พอสมควร
ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศ คือเรื่องเครดิตของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 43 ถือว่ายังไม่เสียหาย ยังไม่ขี้เหร่จนไม่มีใครกล้าให้กู้เงิน ส่วนเรื่องหนี้สินทั่วไปของรัฐบาลกับอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศอยู่ในอันดับที่ 78 เป็นอันดับที่แย่ที่สุดในหมวดนี้ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีสัดส่วนหนี้สินมากพอสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับการหารายได้แล้ว น่าจะเป็นข้อควรระวังของรัฐบาลในการใช้นโยบายประชานิยมมากจนเกินกำลัง ทำให้ประเทศมีหนี้สินเพิ่มขึ้น
สำหรับรากฐานที่ 4 คือรากฐานเรื่องสุขภาพและการศึกษาเบื้องต้น (Health and primary education) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 66  เป็นอันดับที่อาจจะค้านกับความรู้สึกของคนไทยพอสมควร เพราะมีความเข้าใจว่าระบบสาธารณสุขและระบบการศึกษาของประเทศไทยอยู่ในระดับแนวหน้าของภูมิภาคนี้ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าประเทศสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 3 เป็นที่ยอมรับอย่างไม่กังขาว่าระบบสาธารณสุขและการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ก้าวหน้าไปไกลอยู่ในอันดับต้นๆของโลกไปแล้ว ประเทศมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 33 เป็นประเทศที่พยายามพัฒนาตามประเทศสิงคโปร์ และประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง ก้าวหน้าไปไกลกว่าประเทศไทยแล้วเช่นกัน แต่ที่น่าสนใจคือ ประเทศเวียตนาม ที่สามารถแซงหน้าประเทศไทยไปอยู่อันดับที่ 61 หลายท่านอาจจะรู้สึกค้าน แต่ต้องยอมรับว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศเวียตนามได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่วนประเทศที่ตามหลังประเทศไทยได้แก่ประเทศอินโดนีเซียอยู่อันดับที่ 74 ประเทศลาวอันดับที่ 90 ประเทศกัมพูชาอันดับที่ 91 ประเทศฟิลิปปินส์อันดับที่ 92 และประเทศพม่าอันดับที่ 117
ทำไมรากฐานที่ 4 เรื่อง สุขภาพและการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 66 เขาพิจารณาจากปัจจัยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน และการให้บริการการศึกษาเบื้องต้นดังนี้
 
รากฐานที่ 4 สุขภาพและการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Health and primary education)
 
เรื่อง
คะแนน
Value
ตำแหน่งของประเทศไทย
Rank
จำนวนผู้ป่วยโรคมาเลเรียต่อประชากร 100,000 คน
Malaria cases/100,000 pop.*
209.6
39
ผลกระทบต่อธุรกิจจากโรคมาเลเรีย
Business impact of malaria
5.4
24
จำนวนผู้ป่วยโรควัณโรคต่อประชากร 100,000 คน
Tuberculosis cases/100,000 pop.*
119.0
99
ผลกระทบต่อธุรกิจจากโรควัณโรค
Business impact of tuberculosis
4.7
99
อุบัติการณ์ของการติดเชื้อ HIV โรคเอดส์ อัตราในประชากรผู้ใหญ่
HIV prevalence, % adult pop.*
1.1
110
ผลกระทบต่อธุรกิจจากการติดเชื้อ HIV และโรค AIDS
Business impact of HIV/AIDS
4.6
105
อัตราการตายของทารกต่อการเกิดมีชีพ 1000 ราย
Infant mortality, deaths/1,000 live births*
11.4
61
อายุขัยเฉลี่ยของประชากร
Life expectancy, years*
74.2
70
คุณภาพการศึกษาเบื้องต้น
Quality of primary education
3.6
90
อัตราการเข้าโรงเรียนในระดับการศึกษาเบื้องต้น
Primary education enrolment, net %*
95.6
58
 
            อันดับดีที่สุดของประเทศไทยในหมวดเรื่องสุขภาพและการศึกษาเบื้องต้น คือเรื่องโรคมาเลเรียที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 24 และจำนวนผู้ป่วยโรคมาเลเรียต่อประชากร 100,000 คน ที่อยู่ในอันดับ 39 นับว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคมาเลเรียได้ค่อนข้างดี ไม่มีการระบาดของโรคนี้ในวงกว้าง จำนวนผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มขึ้นบ้างในระยะหลังๆน่าจะเป็นผลจากการย้ายถิ่นของประชาชนประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาขายแรงงานในประเทศไทยและเป็นพาหะนำโรคนี้เข้ามาในประเทศไทย
          อันดับที่ดีถัดมาคือเรื่องอัตราการเข้าโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่อยู่อันดับที่ 58 เพราะประเทศไทยมีโรงเรียนในระดับประถมศึกษากระจายครอบคลุมทั่วประเทศ แม้แต่บนดอยสูงก็มีโรงเรียนที่ครูตำรวจชายแดนสอน แต่พอมาดูเรื่องคุณภาพของเด็กที่เรียนในระดับประถมศึกษา ประเทศไทยหล่นไปอยู่อันดับที่ 90 สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการศึกษาเบื้องต้นของไทย เป็นการยืนยันผลการสำรวจเรื่องเด็กไทยเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้วยังอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ เรื่องการศึกษาจึงเป็นวาระของประเทศไทยที่ต้องรีบปฏิรูประบบการศึกษาเป็นการด่วน
          อันดับถัดไปคือเรื่องอัตราการตายของทารกแรกคลอดต่อการเกิดมีชีพ 1,000 ราย ซึ่งประเทศไทยมีตัวเลขการตายของทารกแรกคลอดเฉลี่ย 4.1 คนต่อการคลอด 1,000 ราย ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 61 ยังต้องพัฒนาเรื่องนี้ต่อไปกระทรวงสาธารณสุขไทยต้องรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจกับหญิงมีครรภ์และครอบครัวเพื่อลดตัวเลขการตายของทารกแรกคลอดลง ส่วนเรื่องอายุขัยเฉลี่ยของประชากรไทยอยู่อันดับที่ 70 แม้จะเป็นอันดับไม่ค่อยดี แต่มีแนวโน้มว่าอายุขัยเฉลี่ยของผู้หญิงไทยจะยืนยาวถึง 78 ปี จึงจะยอมลาจากไป ในขณะที่ผู้ชายไทยอายุเฉลี่ยประมาณ 71 ปี ก็อำลาโลกแล้ว
          อันดับที่น่าห่วงใยถัดมาคือเรื่องจำนวนผู้ป่วยโรควัณโรคต่อประชากร 100,000 คน และผลกระทบต่อธุรกิจจากโรควัณโรค ที่ประเทศไทยได้อันดับ 99 ทั้ง 2 รายการ วัณโรคซึ่งเป็นโรคที่เคยแทบจะหายไปจากประเทศไทยแล้วในอดีต ปัจจุบันหวนกลับมาระบาดอีกครั้ง สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการอพยพข้ามถิ่นของประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านและนำเชื้อโรคมาด้วย และจากการที่ผู้ป่วยโรคเอดส์ได้รับเชื้อวัณโรคง่ายเนื่องจากร่างกายอ่อนแอขาดภูมิคุ้มกันทำให้เกิดการระบาดได้มากขึ้น
          อันดับที่ไม่ดีส่งท้ายในเรื่องสุขภาพของคนไทยคือเรื่องการติดเชื้อ HIV และป่วยเป็นโรคเอดส์ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจซึ่งประเทศไทยอยู่อันดับที่ 105  และอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ HIV โรคเอดส์ ต่ออัตราประชากรผู้ใหญ่ที่ประเทศไทยอยู่อันดับ110 สะท้อนความจริงว่า สถานการณ์โรคเอดส์ของประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง ยังมีปัญหาที่ต้องใส่ใจ เพราะยังมีจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ทั่วประเทศไทยอยู่ประมาณ 5-6 ล้านคน และที่ไม่สบายใจคือ มีจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ใหม่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10,000-20,000 คน แสดงว่าคนไทยมีพฤติกรรมเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ระมัดระวัง เป็นประเด็นที่ต้องช่วยกันรณรงค์สร้างความเข้าใจในสังคมไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เยาวชนไทย
          Jack Welch กล่าวว่า An organization's ability to learn, and translate that learning into action rapidly, is the ultimate competitive advantage.” ความสามารถขององค์กรในการเรียนรู้ และเปลี่ยนการเรียนรู้นั้นเป็นการปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว คือความสามารถในการแข่งขันอย่างสูงสุด
          ประเทศไทยมีความสามารถในการเรียนรู้ขนาดใหน และมีความสามารถในการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปฏิบัติให้เกิดผลได้รวดเร็วเพียงใด คือความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
 
ขอบคุณที่แนะนำให้เพื่อนอ่านที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น