วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

PISA 2012



“Do not turn to the right or the left; remove your foot from evil.”

Proverbs 4: 27


ครั้งก่อนได้เขียนเรื่องความสามารถภาษาอังกฤษของนักเรียนประเทศกัมพูชาไปแล้ว และได้นำข้อมูลความสามารถภาษาอังกฤษจาก 2 สถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักระดับนานาชาติคือ EF และ TOEFL ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับคะแนนเฉลี่ยความสามารถภาษาอังกฤษของคนในประเทศต่างๆทั่วโลกมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยมีความสามารถภาษาอังกฤษอยู่ในระดับใดในเวทีนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน
เพื่อให้เห็นภาพรวมความรู้ของนักเรียนไทยว่ามีความรู้อยู่ในระดับใดในมุมมองที่กว้างขึ้นนอกเหนือจากความรู้ภาษาอังกฤษเมื่ออยู่ในเวทีประชาคมโลกและเวทีประชาคมอาเซียน วันนี้ผมขอเสนอผลการจัดอันดับความรู้ของนักเรียนประเทศต่างๆทั่วโลกที่เรียกว่า PISA 2012 มาให้ท่านพิจารณา
PISA ย่อมาจาก Program for International Student Assessment เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้การดำเนินการขององค์กร OECD ซึ่งเป็นชื่อย่อของ Organization for Economic Co-operation and Development หรือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ซึ่งมีประเทศสมาชิกรวม 30 ประเทศ และมีข้อตกลงความร่วมมือกับประเทศอื่นๆที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอีกกว่า 70 ประเทศ
PISA 2012 เป็นผลการทดสอบความรู้ของนักเรียนอายุ 15 ปี จำนวนถึง 510,000 คน ใน 65 ประเทศและพื้นที่เศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2012 ซึ่ง OECD จะทำการทดสอบ PISA นี้ทุก 3 ปี ครั้งล่าสุดที่ทำการทดสอบคือ PISA ปี 2015 ซึ่ง ณ เวลานี้ยังไม่ได้รายงานผลออกมาให้ทราบ

 PISA 2012 เป็นการทดสอบความรู้นักเรียนใน 3 วิชา คือ คณิตศาสตร์ (Mathematics) วิทยาศาสตร์ (Science) และการอ่าน (Reading) โดยข้อสอบในปี 2012 จะเน้นวิชาคณิตศาสตร์ เป็นวิชาหลัก การทดสอบใช้ข้อสอบให้นักเรียนตอบในกระดาษ (Paper based) ซึ่งมีทั้งคำถามปลายเปิดให้นักเรียนเขียนคำตอบ และ คำถามให้นักเรียนเลือกกาคำตอบที่ให้ (Multiple choice) ใช้เวลาในการทดสอบประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้งครูและนักเรียนของโรงเรียนที่เข้าร่วมทดสอบจะต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียนด้วยเพื่อนำไปเป็นส่วนประกอบในการศึกษา ในการทดสอบ PISA 2012 ครั้งนี้ได้เปิดโอกาสเพิ่มให้นักเรียนมีโอกาสเลือก(Optional) ที่จะทดสอบวิชาการแก้ไขปัญหา (Problem solving) ทางคอมพิวเตอร์ (Computer-based assessment) ด้วย ซึ่งมีนักเรียนจำนวน 85,000 คน จาก 44 ประเทศและพื้นที่เศรษฐกิจได้สมัครใจเลือกทดสอบเพิ่ม


ผลการทดสอบ อันดับและคะแนนของ PISA 2012 เป็นดังนี้

MathematicsScienceReading
1China Shanghai, China613
2 Singapore573
3 Hong Kong, China561
4 Taiwan560
5 South Korea554
6 Macau, China538
7 Japan536
8 Liechtenstein535
9  Switzerland531
10 Netherlands523
11 Estonia521
12 Finland519
13= Canada518
13= Poland518
15 Belgium515
16 Germany514
17 Vietnam511
18 Austria506
19 Australia504
20= Ireland501
20= Slovenia501
22= Denmark500
22= New Zealand500
24 Czech Republic499
25 France495
26 United Kingdom494
27 Iceland493
28 Latvia491
29 Luxembourg490
30 Norway489
31 Portugal487
32 Italy485
33 Spain484
34= Russia482
34= Slovakia482
36 United States481
37 Lithuania479
38 Sweden478
39 Hungary477
40 Croatia471
41 Israel466
42 Greece453
43 Serbia449
44 Turkey448
45 Romania445
46 Cyprus440
47 Bulgaria439
48 United Arab Emirates434
49 Kazakhstan432
50 Thailand427
51 Chile423
52 Malaysia421
53 Mexico413
54 Montenegro410
55 Uruguay409
56 Costa Rica407
57 Albania394
58 Brazil391
59= Argentina388
59= Tunisia388
61 Jordan386
62= Colombia376
62= Qatar376
64 Indonesia375
65 Peru368
1China Shanghai, China580
2 Hong Kong, China555
3 Singapore551
4 Japan547
5 Finland545
6 Estonia541
7 South Korea538
8 Vietnam528
9 Poland526
10= Liechtenstein525
10= Canada525
12 Germany524
13 Taiwan523
14= Netherlands522
14= Ireland522
16= Macau, China521
16= Australia521
18 New Zealand516
19  Switzerland515
20= Slovenia514
20= United Kingdom514
22 Czech Republic508
23 Austria506
24 Belgium505
25 Latvia502
26 France499
27 Denmark498
28 United States497
29= Spain496
29= Lithuania496
31 Norway495
32= Italy494
32= Hungary494
34= Luxembourg491
34= Croatia491
36 Portugal489
37 Russia486
38 Sweden485
39 Iceland478
40 Slovakia471
41 Israel470
42 Greece467
43 Turkey463
44 United Arab Emirates448
45 Bulgaria446
46= Serbia445
46= Chile445
48 Thailand444
49 Romania439
50 Cyprus438
51 Costa Rica429
52 Kazakhstan425
53 Malaysia420
54 Uruguay416
55 Mexico415
56 Montenegro410
57 Jordan409
58 Argentina406
59 Brazil405
60 Colombia399
61 Tunisia398
62 Albania397
63 Qatar384
64 Indonesia382
65 Peru373
1China Shanghai, China570
2 Hong Kong, China545
3 Singapore542
4 Japan538
5 South Korea536
6 Finland524
7= Taiwan523
7= Canada523
7= Ireland523
10 Poland518
11= Liechtenstein516
11= Estonia516
13= Australia512
13= New Zealand512
15 Netherlands511
16= Macau, China509
16=  Switzerland509
16= Belgium509
19= Germany508
19= Vietnam508
21 France505
22 Norway504
23 United Kingdom499
24 United States498
25 Denmark496
26 Czech Republic493
27= Austria490
27= Italy490
29 Latvia489
30= Luxembourg488
30= Portugal488
30= Spain488
30= Hungary488
34 Israel486
35 Croatia485
36= Iceland483
36= Sweden483
38 Slovenia481
39= Lithuania477
39= Greece477
41= Russia475
41= Turkey475
43 Slovakia463
44 Cyprus449
45 Serbia446
46 United Arab Emirates442
47= Thailand441
47= Chile441
47= Costa Rica441
50 Romania438
51 Bulgaria436
52 Mexico424
53 Montenegro422
54 Uruguay411
55 Brazil410
56 Tunisia404
57 Colombia403
58 Jordan399
59 Malaysia398
60= Argentina396
60= Indonesia396
62 Albania394
63 Kazakhstan393
64 Qatar388
65 Peru384



 

จากตารางข้างนี้ จะเห็นได้ว่านักเรียนจีนจากโรงเรียนในเขตเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน(ในการทดสอบปี PISA 2012 นี้โรงเรียนจีนยังไม่ได้สมัครเข้ามาทดสอบทั่วประเทศ) ได้คะแนนสูงสุดทั้ง 3 วิชา คือ วิชาคณิตศาสตร์ ได้คะแนน 613 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ ได้คะแนน 580 คะแนน และ วิชาการอ่านได้คะแนน 570 คะแนน โดยมีนักเรียนจีนเขตพื้นที่เมืองฮ่องกง คว้าอันดับ 2 ไป 2 วิชา คือ วิทยาศาสตร์ ได้คะแนน 555 คะแนน และ วิชาการอ่านได้คะแนน 545 คะแนน และ นักเรียนจากประเทศสิงคโปร์ได้อันดับ 2 ในวิชาคณิตศาสตร์ ทำคะแนนได้ 573 คะแนน

เมื่อดูประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน นักเรียนสิงคโปร์นำหน้าเพื่อนๆไปมาก เพราะคว้าอันดับที่ 2 ในวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยคะแนน 573 แล้วยังคว้าอันดับที่ 3 ในวิชาวิทยาศาสตร์ ด้วยคะแนน 551 คะแนน และอันดับที่ 3 ในวิชาการอ่าน ด้วยคะแนน 542 คะแนน ติดตามด้วยนักเรียนจากประเทศเวียตนาม ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแซงหน้านักเรียนประเทศไทยไปอย่างนิ่มๆ คว้าอันดับที่ 17 ในวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยคะแนน 511 คะแนน แล้วหยิบ อันดับที่ 8 ในวิชา วิทยาศาสตร์ไปครองด้วยคะแนน 528 คะแนน และยังไม่พอกวาดเอาอันดับที่ 19 ในวิชาการอ่าน ไปอีกด้วยคะแนน 508 คะแนน
นักเรียนไทย ทำคะแนนตามหลังนักเรียนเวียตนามค่อนข้างห่างมากคือได้อันดับที่ 50 ในวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยคะแนน 427 คะแนน แพ้นักเรียนเวียตนามไป 84 คะแนน แพ้นักเรียนสิงคโปร์ ไปถึง 146 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียนไทย ได้อันดับที่ 48 ได้คะแนน 444 คะแนน แพ้นักเรียนเวียตนามไป 84 คะแนน อีกเช่นกัน ส่วนวิชาการอ่าน นักเรียนไทยได้อันดับที่ 47 ทำคะแนนได้ 441 คะแนน แพ้นักเรียนเวียตนามไป 67 คะแนน
นักเรียนประเทศมาเลเซีย ตามหลังนักเรียนประเทศไทยมาติดๆแบบหายใจรดต้นคอ คือในวิชาคณิตศาสตร์ ได้อันดับที่ 52 ได้คะแนนไป 421 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ อันดับ 53 ได้คะแนน 420 คะแนน และวิชาการอ่าน ได้อันดับที่ 59 ทำคะแนนได้ 398 คะแนน
นักเรียนจากประเทศอินโดนีเซีย ตามหลังนักเรียนประเทศมาเลเซียโดยในวิชาคณิตศาสตร์ อยู่ในอันดับ 64 ได้คะแนน 375 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ ได้อันดับที่  64 ได้คะแนน 382 คะแนน และวิชาการอ่าน ได้อันดับที่ 60 ได้คะแนน 396 คะแนน
ส่วนประเทศอื่นๆในอาเซียน ไม่ปรากฏในตารางการจัดอันดับครั้งนี้ เข้าใจว่าโรงเรียนยังไม่พร้อมที่จะส่งนักเรียนเข้าทดสอบ
คะแนนเฉลี่ยกลาง (Mean score) ของการสอบครั้งนี้ วิชาคณิตศาสตร์ อยู่ที่ 494 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์อยู่ที่ 501 คะแนน และวิชาการอ่านอยู่ที่ 496 คะแนน จะเห็นได้ว่านักเรียนไทยได้คะแนนต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยทุกวิชา
ที่นำเสนอมานี้ไม่ได้มีเจตนากล่าวหานักเรียนไทยว่าไม่เก่ง แต่ต้องการให้ผู้บริหารการศึกษาไทย ได้รู้สึกกันบ้างว่าท่านบริหารการศึกษาประเทศกันอย่างไรถึงทำให้นักเรียนไทยได้คะแนนต่ำเช่นนี้ แพ้นักเรียนประเทศสิงคโปร์ ไม่มีใครกังขาครับ เพราะสิงคโปร์เขาเก่งมานานแล้ว แต่แพ้นักเรียนประเทศเวียตนาม แบบห่างกันมากขนาดนี้ ทั้งๆที่ทรัพยากรทางการศึกษาของประเทศไทยนำหน้ากว่า และมีมากกว่าประเทศเวียตนามมาก อันนี้แหละครับที่ประชาชนคนไทยผู้เสียภาษีเขามีข้อสงสัยและมีสิทธิถามท่านได้ เพราะเรามีดอกเตอร์ทางการศึกษาจำนวนนับพันคนเดินชนกันในกระทรวงศึกษาธิการ และมีอาคารสถานที่ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี แบบจัดเต็มให้อยู่แล้ว
เมื่อดูงบประมาณรายจ่ายของประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณมากที่สุด และได้รับงบประมาณเพิ่มมาตลอด ดังนี้

ปีงบประมาณ

จำนวนเงิน

2558

502,245 ล้านบาท

2557

481,337 ล้านบาท

2556

460,411 ล้านบาท

2555

418,616 ล้านบาท

2554

392,454 ล้านบาท
เมื่อดูตัวเลขงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการประเทศไทยเปรียบเทียบกับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการประเทศอื่นในอาเซียน โดยเปรียบเทียบว่างบประมาณรายจ่ายเป็นร้อยละเท่าไหร่ของงบประมาณรายจ่ายของประเทศ ปรากฏว่างบประมาณด้านการศึกษาของประเทศไทยมีรายจ่ายเป็นร้อยละของงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลทั้งหมด (Expenditure on education as % of total government expenditure) สูงสุด  มากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยข้อมูลจากธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า

ประเทศ

รายจ่ายการศึกษาเป็น

% ของงบประมาณประเทศ

ไทย

22.0

เวียตนาม

21.4

มาเลเซีย

21.0

สิงคโปร์

20.6

อินโดนีเซีย

18.1
          เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลมากกว่าห้าแสนล้านบาทของกระทรวงศึกษาธิการในปีงบประมาณนี้ ควรใช้จ่ายอย่างมีประสิทธภาพและทำให้คุณภาพการศึกษาของเด็กนักเรียนไทยดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ถึงเวลาที่เราต้องเอาใจใส่เรื่องระบบการศึกษาของไทยอย่างจริงจังแล้วครับ แม้ว่านักเรียนไทยมักจะสร้างชื่อเสียงในการแข่งขันวิชาการโอลิมปิกระดับโลก ได้เหรียญชนะเลิศมาทุกครั้ง แต่เป็นภาพลวงตา เพราะนักเรียนไทยเหล่านั้นเป็นเด็กที่มีความเก่งเป็นพิเศษ และถูกนำไปเข้าค่ายติวพิเศษเฉพาะเพื่อการแข่งขัน ไม่ใช่ตัวแทนความรู้ที่แท้จริงของนักเรียนไทยทั่วไปทั้งประเทศ
          ข้อมูลตัวเลขที่เสนอมาทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าคุณภาพการศึกษาของนักเรียนไทยต้องได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยด่วน และระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของประเทศไทยต้องแก้ไขพัฒนาให้มีคุณภาพมากขึ้นอย่างเร่งด่วนเช่นกัน เพราะเมื่อประเทศเวียตนามที่เรื่องการศึกษาเคยตามหลังเรามาก่อนสามารถพัฒนาแซงหน้าประเทศไทยไปไกลได้ขนาดนี้ เราจึงไม่มีข้ออ้างและเหตุผลอื่นใดมาอ้างกันอี
ผู้บริหารการศึกษาไทยครับ ท่านมีเงินงบประมาณจำนวนมหาศาลในแต่ละปี โครงสร้างพื้นฐานโรงเรียนโดยรวมประเทศไทยดีกว่าประเทศเวียตนามมาก แต่ผลผลิตของการบริหารการศึกษาของประเทศไทยออกมาแพ้ประเทศเวียตนามอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าเรากำลังทำร้ายนักเรียนนักศึกษาไทยที่เป็นลูกหลานของเรานะครับ
Benjamin Franklin กล่าวว่า An investment in knowledge pays the best interest.” การลงทุนในความรู้ให้ดอกเบี้ยดีที่สุด และ
          Plato สอนว่า The direction in which education starts a man will determine his future in life.” ทิศทางที่เริ่มให้การศึกษาแก่คนกำหนดชีวิตคนในอนาคต
          เช่นเดียวกันครับ ทิศทางการศึกษาที่นักการศึกษาไทยให้แก่ลูกหลานของเราในเวลานี้กำหนดชีวิตของคนไทยในอนาคต
          คือการกำหนดอนาคตของประเทศไทย
ขอเรียนถามตรงๆด้วยความเคารพ
ท่านไม่มีความรู้สึกผิด หรือมีความละอายใจบ้างหรือครับ ?

 ขออภัยที่มีข้อความบางส่วนไปขึ้นข้างตาราง ซึ่งผมได้พยายามแก้ไขแล้ว แต่ไม่สำเร็จครับ
แหล่งที่มา : www.oecd.org/pisa/




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น